5 เทคนิคในการร้องเพลงที่นักร้องทุกคนควรรู้

สวัสดีค่ะเพื่อนๆทุกคน วันนี้เราจะมาพูดกันถึงเรื่องเทคนิคในการร้องเพลงค่ะ เทคนิคเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นมากๆที่เพื่อนๆควรฝึกฝน หากเราเข้าใจที่มาของเสียงต่างๆและฝึกฝนจนเราสามารถแยกประเภทของเสียงในแต่ละแบบได้แล้ว เราจะสามารถร้องเพลงได้น่าฟังมากขึ้นและทำให้การร้องเพลงของเราง่ายมากขึ้นด้วยค่ะ

ช่วงแรกที่ครูเรียนร้องเพลงนั้น เกิดความสับสนเกี่ยวกับการแยกประเภทของเสียงแต่ละประเภทมากๆ แต่เพื่อนๆเชื่อใจได้ค่ะว่าถ้าเราหมั่นฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอเราจะสามารถระบุประเภทของเสียงต่างๆในการร้องเพลงของเราได้แน่นอนค่ะ

1. การร้องแบบ Chest voice (เสียงทรวงอก)

chest voice เป็นเสียงร้องที่เป็นเสียงเดียวกับเวลาที่เราพูด เป็นเสียงที่ใช้สายเสียงที่ใหญ่และหนา เราสามารถเช็คเสียง chest voice (เสียงทรวงอก) ได้โดยการเอามือวางบนหน้าอกและร้องคำว่า “อา” ดังๆ เพื่อนๆจะรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนบริเวณหน้าอก ซึ่งเป็นมาในการเรียกการร้องเพลงประเภทนี้ว่า “chest voice หรือเสียงทรวงอก” นั่นเอง

chest voice นั้นมีเรนจ์เสียงและคุณภาพเสียงเดียวกันกับเสียงพูดของเรา chest voice เป็นพื้นฐานสำคัญของเสียงร้อง หากเสียง chest voice ของเราอ่อนแอ จะทำให้คุณภาพของเสียงของเรานั้นไม่ดี ครูมีคนรู้จักอยู่คนหนึ่งที่เสียงพูดของเขาสั่นมากๆและไม่มีพลัง การที่คนนั้นจะร้องเพลงได้ดีนั้นจึงค่อนข้างยากมาๆเพราะจะต้องสร้างความแข็งแรงให้กับ chest voice ก่อนซึ่งโดยปกติแล้วเป็นเสียงที่เราทุกๆคนร้องได้ดีโดยที่ไม่ต้องฝึกฝนมากค่ะ

chest voice จะมีความต่ำ หนา แข็งแรงและอบอุ่น chest voice จะช่วยให้เราร้องเพลงอย่างมีพลังได้ดี อย่างเพลงของ Sia หรือ Adele นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับการร้องเพลงที่ต้องใช้เสียงที่มีพลังอย่างเพลงบลูส์หรือเพลงร็อคแบบกรันจ์ หากเพื่อนๆไม่รู้ว่าสไตล์บลูและสไตล์ร็อคเป็นอย่างไร คลิกอ่าน แนวเพลงที่สำคัญมีอะไรบ้าง ได้เลยค่ะ

อย่างไรก็ตาม ช่วงเสียงของ chest voice (เสียงทรวงอก) ค่อนข้างจำกัด จะมีเรนจ์เสียงที่ไม่กว้าง หากเราพยายาม ‘ดัน’ เสียง chest voice ให้สูงขึ้น เสียงเหล่านั้นจะฟังดูตึงเครียดและไม่น่าฟังค่ะ

เราแต่ละคนมีเครื่องดนตรีเสียงที่แตกต่างกัน และเราสามารถร้องเพลงด้วยเสียง chest voice ได้ลึกและต่ำเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับประเภทของเสียงที่มีตามธรรมชาติ เพื่อนๆลองเปรียบเทียบเสียงของ Adele และ Ariana Grande ดูเป็นตัวอย่างได้ค่ะ Adele มีเสียง chest voice ที่หนาและเข้มกว่า Ariana มาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเสียงที่หนาและเข้มกว่านั้นดีกว่าเสมอไป บางคนอาจชอบเสียงหนาๆใหญ่ๆของ Adele บางคนก็ชอบเสียงใสๆอย่าง Ariana ครูจะยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆจากเครื่องดนตรีละกันนะคะ เสียงของไวโอลินนั้นไม่มีความลึกและหนาเท่ากับเสียงของเชลโล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเสียงของไวโอลินจะสู้งเสียงของเชลโลไม่ได้ และหลายๆครั้งเสียงของไวโอลินสามารถให้ความรู้สึกมากกว่าเสียงของเชลโลด้วยซ้ำไป

ครูมีเสียง chest voice ที่ค่อนข้างหนา วันหนึ่งครูโทรศัพท์คุยกับผู้ชายที่ครูแอบชอบ ผู้ชายคนนั้นคอมเมนท์ว่าเสียงของครูเหมือนเสียงของผู้ชายมากๆ ถ้าเขาไม่เคยเห็นครูตัวเป็นๆเขาก็นึกว่าครูเป็นกระเทยปลอมมาในมาดผู้หญิงแล้ว ที่เล่ามานี้ครูก็จะบอกว่าบางคนชอบเสียงหนาบางคนชอบเสียงใสหวาน ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวเลยค่ะ ดังนั้นไม่ว่าธรรมชาติของเราจะมีเสียงแบบไหน เราก็สามารถที่จะร้องเพลงให้ไพเราะได้ค่ะ

2. การร้องแบบ Head voice


ถ้าเสียง chest voice มีความสำคัญและมีพลังขนาดนั้น เราควรร้องเพลงจากโน้ตต่ำไปสูงโดยใช้เสียงchest voice เพียงอย่างเดียวหรือไม่? คำตอบคือไม่

ในการร้องเพลงช่วงของเสียงสูงเราจะต้องใช้เสียง head voice หากเพื่อนๆลองร้องเพลงด้วยสระ “อา” จากช่วงเสียงต่ำไปสูงโดยเลียนแบบเสียงไซเรน เราจะไม่รู้สึกสั่นสะเทือนบริเวณหน้าอกเมื่อเราขึ้นเสียงสูงอีกต่อไป ในโน้ตเสียงสูงนักร้องหลายคนรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนในหัวขณะร้องเพลงโน้ตที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า “head voice” นั่นเองค่ะ

Head Voice นั้นเป็นเสียงที่เบากว่าเสียง chest voice และมีความนุ่มนวลแต่ก็ยังเป็นเสียงที่เต็มและมีพลัง เสียง head voice นั้นเหมาะสำหรับการร้องเพลงแนว R&B, Soul และ Indie Rock หากเพื่อนๆยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องสไตล์เพลง คลิกอ่านบทความ ความแตกต่างของสไตล์เพลงแต่ละประเภท ได้เลยค่ะ head voice นั้น จะใช้ร้องเวลาที่เราต้องการร้องโน้ตเสียงสูงและต้องการคงโทนเสียงที่สมบูรณ์และหนักแน่น ให้เพื่อนๆจินตนาการถึงภาพยนต์ที่มีฮีโรที่เป็นผู้หญิง ลองคิดถึง black widow ก็ได้ค่ะ บุคคลิกก็จะเป็นประมาณเงียบและเก็บตัวแต่มีความแข็งแกร่งภายในที่ไม่มีใครเทียบได้ นี่ก็เป็นลักษณะของเสียง head voice นั่นเอง

head voice เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการขยายช่วงเสียงของเราให้กว้างขึ้น เนื่องจากโน้ตเสียงสูงทั้งหมดมาจาก head voice แต่ก็มีเสียงอีกประเภทหนึ่งที่เราจะใช้ในการร้องเสียงสูง ซึ่งก็คือเสียงที่เรียกว่า falsetto ความแตกต่างระหว่าง head voice และ falsetto นั้นคือ falsetto จะยังคงความทุ้มและใช้อากาศในการร้องค่อนข้างมาก เสียงจะโปร่งใสและมีความกลวง ส่วน head voice นั้นยังคงความแข็งแกร่งและความลุ่มลึกของเสียงอยู่

ถ้าเพื่อนๆยังนึกไม่ออกลองดูตัวอย่างการใช้เสียง falsetto ในเพลง “Angel” ของ Sarah McLachlan เธอร้องคำว่า “far away” เสียงที่ใช้ก็จะค่อนข้างเบา ล่องลอยและมีการใช้ลมค่อนข้างเยอะ

เสียง head voice ฟังดูหนักแน่นกว่าเสียงแบบ falsetto ตัวอย่างเช่น เพลง “She Will Be Loved” ของ Maroon 5 ซึ่งมีการร้องโน้ตที่ขึ้นไปถึงระดับ Bb4 ท่อน “And she will be loved” ตรงคำว่า will นั้นเป็นเสียงสูงที่ใช้ head voice ซึ่งยังคงความแข็งแรงของเสียง ดูตัวอย่างเพลงได้จากด้านล่างค่ะ ครูจะอธิบายเสียงแบบ falsetto อย่างละเอียดในท้ายบทความค่ะ

3. การร้องแบบ Mixed voice (เสียงผสม)


ตอนนี้เพื่อนๆน่าจะเข้าใจความหมายของ chest voice (เสียงทรวงอก) และ head voice (เสียงในหัว) ว่ามีลักษณะอย่างไร นอกจากเทคนิคการร้องทั้งสองแบบที่กล่าวมาแล้ว เป็นที่นิยมอย่างมากที่นักร้องส่วนใหญ่จะผสมผสานเสียงทั้งสองแบบนี้เข้าด้วยกัน เราเรียกเทคนิคการผสมผสานนี้ว่า mixed voice

เมื่อเราร้องโน้ตจากเสียงต่ำไปเสียงสูง เราจะต้องมีตัวเชื่อมในช่วงการเปลี่ยนระหว่าง chest voice ไป head voice ซึ่งก็คือเสียงแบบ mixed voice นั่นเอง ในช่วงเรนจ์ของเสียงต่ำส่วนใหญ่จะใช้ chest voice เสียง mixed voice จะเป็นช่วงเสียงกลางๆ และ head voice จะเป็นช่วงเสียงสูง

ช่วงเสียงที่เราสามารถใช้ mixed voice สำหรับผู้หญิงจะอยู่ประมาณ A4 – C5 ส่วนผู้ชายจะอยู่ประมาณ E4- G4 เสียงที่ได้จะมีความละมุนละไมมากกว่าการร้องแบบ chest voice แต่จะไม่ลุ่มลึกและดิบเท่ากับเสียงแบบ chest voice ค่ะ

ตัวอย่างเสียงแบบ mixed voice

Mixed voice เป็นเสียงร้องที่รวมคุณสมบัติของเสียง chest voice และ head voice ทำให้เกิดเสียงที่สมดุลและทรงพลัง เสียง chest voice เป็นเสียงที่ต่ำซึ่งสร้างโทนเสียงที่อบอุ่นและก้องกังวาน ในขณะที่เสียง head voice เป็นเสียงที่สูงกว่าซึ่งให้เสียงที่สดใสและโปร่งสบาย

ในการผสมผสานเสียง chest voice และ head voice นักร้องจำเป็นต้องทำให้เสียง chest voice ของตัวเองเบาลง เพื่อเปลี่ยนจากโน้ตเสียงต่ำเป็นเสียงสูงโดยที่คนฟังไม่รู้สึกสะดุด

กระบวนการสำหรับนักร้องทุกคนในการค้นหาเสียง mixed voice นั้นแตกต่างกันไป มันขึ้นอยู่กับว่าเรามีนิสัยในการพูดและเครื่องมือในร่างกายของเราเป็นแบบไหน ตอนที่ครูฝึกร้องเพลงนั้นครูสอนร้องเพลงสั่งให้ครูเปลี่ยนเสียงพูดจาก chest voice เป็น mixed voice เพราะจะช่วยให้ mixed voice ของครูนั้นแข็งแรงขึ้น เพราะทุกครั้งที่เราพูดด้วยเสียง mixed voice ก็เท่ากับว่าเราได้ฝึกฝนการใช้เสียง mixed voice ตลอดเวลา

แม้ว่าการทำเสียง mixed voice จะค่อนข้างยากในช่วงแรกแต่เชื่อได้ว่าทุกคนสามารถทำเสียง mixed voice ได้แน่นอนค่ะ mixed voice นั้นไม่ได้ใช้แค่ในการร้องโซโลเท่านั้น แต่เราใช้ในการร้องเสียงประสานด้วยค่ะ

ทำไมเสียงแบบ mixed voice ถึงจัดว่าดีที่สุด ?

เสียงแบบ mixed voice คือเสียงที่สมบูรณ์ที่สุด แข็งแกร่งที่สุด และควบคุมได้ดีที่สุดเท่าที่เสียงของมนุษย์จะสามารถสร้างได้ เมื่อสร้างเสียง mixed voice ได้ถูกต้อง ระบบจะสร้างโทนเสียงที่ไพเราะและสม่ำเสมอตลอดช่วงเสียงทั้งหมดของเรา

mixed voice เป็นการผสมผสานเสียงสูงที่สวยงามของ head voice กับเสียง chest voice ที่ลึกและหนักแน่นช่วยให้เราเข้าถึงช่วงเสียงทั้งหมดได้อย่างเต็มกำลัง โทนเสียง และความสมบูรณ์ ถ้าเพื่อนๆฝึกที่จะทำให้ mixed voice แข็งแรงก็จะทำให้เรามีอิสระในการเปลี่ยนไปใช้เสียงอื่นได้ทุกเมื่อที่เห็นสมควร

มีคนกล่าวว่าถ้าเราร้อง mixed voice ได้ดีเราก็จัดว่าเป็นเชฟเสียงดีๆนั่นเอง โรยเสียง chest voice ตรงนี้ บีบเสียงสูงเป็น falsetto ตรงนู้น และสามารถที่จะควบคุมการร้องเพลงได้ตลอดเวลา หากเพื่อนๆต้องการร้องเพลงคีย์มีโน้ตสูงๆอย่างมีพลัง เสียงแบบ mixed voice คือตัวเลือกที่ดีที่สุดที่ทำให้เสียงมีพลังและเป็นการร้องที่ปลอดภัยต่อการบาดเจ็บได้มากที่สุด ดังนั้นเสียงแบบ mixed voice จึงเป็นวิธีการเรียนรู้ที่ดีที่สุดในการร้องเพลงอย่างไร้ที่ติ

ตัวอย่างเสียง chest voice, mixed voice, head voice

4. การร้องแบบ Falsetto

falsetto เป็นเทคนิคการร้องเพลงที่ช่วยให้เราสามารถขยายช่วงเสียงของตัวเองออกไปให้เกินขีดจำกัดกว่าเดิมและสามารถร้องโน้ตเสียงสูงที่ไม่สามารถร้องได้ เราใช้ falsetto ในเพลงเกือบทุกประเภท สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับการฝึกฝนในการฟัง การร้องเพลงด้วยเสียงแบบ falsetto อาจฟังดูเหมือนการร้องเพลงปกติในระดับเสียงที่สูงขึ้น

ส่วนใหญ่แล้วเสียง falsetto นั้นจะใช้ในการเรียกเสียงของผู้ชาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของช่วงเสียงที่ให้ความใส นุ่มนวล มีความบางและล่องลอย ใช้ลมในการร้องเยอะ เสียงแบบ falsetto นั้นจะเป็นช่วงเสียงที่สูงที่สุดของผู้ชาย

เสียงแบบ falsetto มีความแตกต่างจากเสียงแบบ head voice แม้จะเป็นการร้องโน้ตเสียงสูงเหมือนกัน การร้องแบบ falsetto ไม่ต้องใช้การซัพพอร์ทจากช่วงล่างของร่างกาย เสียงที่ได้จะบางกว่าเสียงแบบ head voice มาก ส่วนใหญ่จะใช้ในการเพิ่มสีสันให้กับเพลง

การร้องแบบนี้ค่อนข้างง่ายกว่าการร้องด้วยวิธีอื่นมากๆ แต่ในการฝึกช่วงแรกอาจจะหาเสียง falsetto ได้ยาก วิธีง่ายๆในการฝึกก็คือให้เพื่อนๆร้องเนื้อร้องที่ขึ้นต้นด้วยตัว “ฮ” หรือตัว “H” ในภาษาอังกฤษ ก็จะทำให้หาเสียงแบบ falsetto ได้ง่ายขึ้น

Justin Timberlake, Pharrell Williams และ Justin Vernon ของวง Bon Iver ใช้ falsetto ในการร้องค่อนข้างมาก แต่ไม่มีเพลงไหนที่จะใช้แค่เสียง falsetto ทั้งเพลงเพราะนั่นแปลว่าเพลงนั้นจะต้องสูงมากๆเลยล่ะค่ะ เสียง falsetto นั้นสูงกว่าช่วงเสียงที่ผู้หญิงสามารถร้องได้ ดังนั้นจึงเป็นเทคนิคการร้องที่ใช้เฉพาะในผู้ชายค่ะ

ตัวอย่างของเพลงที่ใช้เสียง falsetto ที่ชัดๆได้แก่ ช่วงต้นของเพลง skinny love ของ Bon Iver เพื่อนๆลองฟังได้จาก youtube ด้านล่างค่ะ

5. การร้องแบบ Belting

การร้องแบบ Belting นั้นคือการร้องโน้ตเสียงสูงที่มีพลัง ก่อนครูจะอธิบายเพิ่มเติมครูจะเล่าเรื่องของครูก่อนเล็กน้อยนะคะ เมื่อสมัยที่ครูเรียนร้องเพลงแบบตัวต่อตัว ครูสอนร้องเพลงพยายามที่จะสอนครูให้รู้จักการร้องแบบ Belt ซึ่งครูร้องเพลงบอกว่าถ้าพี่ (ครูร้องเพลงเรียกครูว่าพี่) อยากจะร้องเพลงฝรั่งให้ได้แล้วล่ะก็จะต้องร้อง Belt ให้ได้ ครูเค้าก็พยายามอธิบายว่าการ Belt นั้นคือการร้องที่เหมือนกับการพูด ใช้เสียงเดียวกันเลย ครูสับสนมากและไม่เข้าใจว่าทำอย่างไร บางครั้งเวลาที่ครูร้องเพลง ครูผู้สอนก็จะบอกว่าพี่ลีลาไม่เอาเสียง mixed voice แบบนี้ค่ะ ร้องใหม่ บางครั้งครูสอนร้องเพลงก็จะบอกว่านี่แหละค่ะเสียงแบบ Belt ครูแยกไม่ออกว่าเสียงไหนเป็นเสียงไหน แต่ก็ร้องไปเรื่อยๆ ด้วยความงง แต่ตอนนี้ครูเข้าใจถ่องแท้แล้วว่าเสียงแบบ Belt นั้นเป็นอย่างไร

ครูจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆที่สุดเลยนะคะ เทคนิคการร้องเพลงแบบ Belting นั้นคือการที่เราร้องโน้ตเสียงสูงที่ส่วนใหญ่แล้วเราจะใช้ head voice ในการร้อง แต่ทีนี้เราจะไม่ใช้เสียงแบบ head voice แต่เราจะดันเสียงแบบ chest voice ขึ้นไปที่ตำแหน่งโน้ตนั้นๆ ดังนั้นเราจึงได้เสียงสูงที่มีความแข็งแรง ลุ่มลึก และก้องกังวานมีพลัง

แต่ก่อนที่เพื่อนๆจะฝึกการร้องแบบ Belt นั้นจะต้องเข้าใจการร้องแบบ chest voice, mixed voice และ head voice ก่อนถึงจะเข้าใจการ Belt สมัยก่อนครูไม่เคยฝึกการร้องในแต่ละแบบก็เลยทำให้ไม่เข้าใจความแตกต่างของการร้องแต่ละแบบ การ Belt จึงเป็นอะไรที่ค่อนข้าง abstract มากสำหรับตอนนั้น

เราสามารถร้องเพลงสากลได้มั้ยถ้าเราร้องแบบ Belt ไม่ได้

คำตอบคือเราสามารถร้องได้แน่นอน มีเพลงสากลมากมายเป็นหลายพันเพลงที่ไม่ได้ร้องด้วยเทคนิคการ belt เราสามารถใช้เสียงแบบ mixed voice ในการร้องเพลงได้แน่นอน แต่หากเพื่อนๆชอบสไตล์เพลงของ Adele หรือ Sia นั้นก็ควรที่จะฝึกการร้องแบบ belt ไว้ด้วยเพราะเพลงของนักร้องทั้งสองนี้จะใช้ Belt เยอะมากๆ ลองดูยูทูปด้านล่างนะคะ จะเป็นตัวอย่างการ belt ของ Sia และ Adele ค่ะ

วิธีการการร้องแบบ Belting

การร้องแบบ belt นั้นค่อนข้างเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของเส้นเสียง นักร้องหลายๆคนร้อง belt ด้วยวิธีการแบบผิดๆซึ่งทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้ เราจะมาดูกันว่าการร้อง belt แบบผิดๆนั้นคืออะไรค่ะ

การ belt นั้นก็คือการตะโกน ตะคอก ด้วยเสียงที่ดังและมีพลัง ซึ่งการตะโกนนั้นถือว่าเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ที่มีมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์เลยทีเดียว เราตะโกน เวลาที่เราโกรธ ตื่นเต้นหรือกลัว ดังนั้นเวลาที่นักร้องส่วนใหญ่ฝึกการ belt ก็จะใช้สัญชาตญาณแบบธรรมชาติในการแสดงความรู้สึกในการร้อง

ถ้าเราร้องเพลงโดยการ belt ที่ผิดวิธีนั้นจะทำให้เส้นเสียงเกิดการบาดเจ็บได้

เพื่อนๆเคยลองตะโกนมากๆในเวลาสั้นๆ มั้ยคะ ครูคิดว่าทุกคนก็น่าจะเคยมีประสบการณ์การตะโกนแบบนี้มาก่อน เท่าที่ครูจำได้ก็น่าจะเป็นตอนรับน้องที่เราต้องร้องเพลงเชียร์ให้ดังที่สุด อย่าเรียกว่าร้องเพลงเลย ให้เรียกว่าตะโกนกันตลอดมากกว่าค่ะ หลังจากเสร็จสิ้นการร้องเพลงเชียร์ เสียงแหบกันเป็นแถวๆเลยค่ะ หรือว่าถ้าเพื่อนๆเคยไปคลับที่เปิดเพลงแดนซ์อย่าง EDM แล้วเราพยายามคุยกับเพื่อน หลังจากคืนนั้นรับรองว่ารุ่งเชัาแทบไม่มีเสียงพูดแน่นอน

การ belt ด้วยวิธีที่ผิดนั้นทำให้เสียงแหบ มีก้อนและแม้แต่เป็นห้อเลือดที่เส้นเสียงได้เลยค่ะ การ belt ที่ถูกต้องคือการตะโกนอย่างถูกวิธี การตะโกนประเภทที่ถ่ายทอดอารมณ์ดิบๆ โดยไม่ทำลายเสียงของเรา

เพื่อให้เพื่อนๆเข้าใจเกี่ยวกับการร้อง belt ด้วยวิธีที่ผิดนั้นจะต้องเข้าใจว่าเกี่ยวกับพื้นฐานของการเกิดเสียงกันก่อน

การร้องเพลงทั้งหมดเกิดมาจากเส้นเสียง เส้นเสียงจะรวมตัวกันเพื่อต่อต้านอากาศจากปอดของเรา และเมื่อเกิดการต้านอากาศที่ได้รับการซัพพอร์ทจากการลมหายใจ มันจะเกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นมาทำให้เกิดเสียง พูดง่ายๆคือ เมื่อเราหายใจเข้าเส้นเสียงจะเปิดออก เมื่อเราหายใจออกเส้นเสียงจะปิด การกำเนิดเสียงนั้นเส้นเสียงจะต้องปิดเพื่อสกัดกั้นลมให้ออกจากคอ ซึ่งทำให้เกิดการสั่นสะเทือนที่เส้นเสียงทำให้เกิดเสียงขึ้นมา

การร้องโน้ตเสียงต่ำ

เวลาที่เราร้องโน้ตเสียงต่ำนั้นเส้นเสียงจะสั้นและหนา ให้เพื่อนๆคิดถึงหนังยางที่เราไม่ได้ยืดออก เวลาที่เราร้องเพลงเสียงต่ำเส้นเสียงของเราก็จะเป็นแบบนั้น เมื่อเส้นเสียงหนาและสั้นจะเกิดการสั่นสะเทือนที่ช้าทำให้เกิดเสียงต่ำ เส้นเสียงที่หนานั้นทำให้เกิดเสียงที่เกิดจากทรวงอกซึ่งเราเรียกว่า chest voice เพื่อนสามารถทดลองได้โดยเอามือจับที่หน้าอกก็จะรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่หน้าอกค่ะ

การร้องโน้ตเสียงสูง

เวลาที่เราร้องเสียงสูง เส้นเสียงจะยืดขึ้นเพื่อให้เกิดการสั่นสะเทือนที่เร็วขึ้น ให้เพื่อนๆคิดถึงหนังยางที่เรายืดออก เราจะได้หนังยางที่ใหญ่ขึ้นและบางลง ถ้าเราดีดหนังยางที่เรากำลังยืดออกก็จะเห็นว่ามีการสั่นสะเทือนเร็วกว่าการดีดหนังยางที่ไม่ได้ยืดออก การสั่นสะเทือนที่เร็วนี้เองทำให้เกิดเสียงสูง ซึ่งเป็นเสียงที่มีลักษณะแบบ head voice เราสามารถรู้สึกถึงเสียงแบบ head voice ได้จากการสังเกตเวลาที่เราร้องเสียงสูงว่าเสียงจะก้องกังวานในหัว เราสามารถรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนได้จากการจับที่หลังคอระหว่างที่ร้องโน้ตเสียงสูงค่ะ

หลังจากที่เพื่อนๆเข้าใจการกำเนิดเสียงของ chest voice และ head voice แล้ว เราจะมาทำความเข้าใจความหมายของการร้องแบบ belt อย่างละเอียดกันค่ะ

วีดีโออธิบายการกำเนิดเสียงจากเส้นเสียง

การใช้เทคนิคผิดๆในการร้องแบบ belt เป็นอย่างไร?

นักร้องหลายๆคนพยายามที่จะร้องโน้ตเสียงสูงด้วยเสียงแบบ chest voice เมื่อนักร้องต้องพยายามใช้เส้นเสียงที่หนาในการร้องเสียงสูงทำให้เกิดแรงดันและความตึงของเส้นเสียง จึงทำให้เกิดการบาดเจ็บของเส้นเสียงได้ เราสามารถสังเกตได้ง่ายๆหากเราร้อง belt แบบผิดๆ เสียงของเราจะแตกเนื่องจากเส้นเสียงเกิดความรัดตึง

ดังนั้นการร้องด้วย belt ที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งหมายถึงการตะโกนเพื่อที่จะสร้าง chest voice ที่โน้ตสูงๆ 99 % ของการร้องแบบนี้จะทำให้เส้นเสียงตึงเกินไปสำหรับโน้ตที่เราจะร้องและทำให้เกิดเสียงแตกและเสียงเพี้ยนต่ำค่ะ

ร้องแบบ belting อย่างถูกวิธีทำอย่างไร?

หลังจากที่เพื่อนๆทราบแล้วว่าการร้อง belt ที่ผิดวิธีนั้นคือการพยายามที่จะพยายามดันเสียงแบบ chest voice ขึ้นไปบนโน้ตที่สูง (การตะโกนด้วยเสียงแบบ chest voice บนโน้ตสูงๆ)

การร้องแบบ belt ที่ถูกวิธีนั้นเราจะต้องร้องโน้ตเสียงสูงด้วยการสร้างความสมดุลระหว่างการร้องแบบ chest voice และ head voice ถ้าเพื่อนๆสามารถหาสมดุลของเทคนิคทั้ง 2 อย่างนี้ในการร้อง belt ได้ เราจะได้เสียงที่มีพลังและชัดเจน เพราะเส้นเสียงของเรามีความหนาที่เหมาะสมจึงทำให้เสียงไม่แตกหรือเพี้ยนต่ำ

การร้องแบบbeltให้ความรู้สึกอย่างไร

หลังจากที่ครูพยายามอธิบายเกี่ยวกับการกำเนิดของเสียงในแนววิทยาศาสตร์ไปแล้วอาจเป็นการยากที่เพื่อนๆจะจินตนาการความรู้สึกของการ belt ได้ จากประสบการณ์ของครู การ belt ที่ดีนั้นเปรียบเสมือนกับคันเร่งในรถยนต์ เมื่อเราหาสมดุลในการร้อง belt ที่เหมาะสมได้แล้ว หากเราต้องการเร่งคันเร่ง (การเพิ่มความดังเบาของเสียงร้อง) เราสามารถเพิ่มพลังเสียงได้ง่ายๆด้วยการเหยียบคันเร่งให้ลึกขึ้น ซึ่งต่างจากการ belt ที่ผิดวิธี ครูจะเปรียบเทียบว่าการร้องแบบผิดวิธีนั้นเปรียบเสมือนการเอาอิฐวางไว้บนคันเร่งและพยายามที่จะคอนโทรลรถยนต์ด้วยเบรก ทุกอย่างก็จะติดขัดไปหมดค่ะ

การร้อง belt ด้วยวิธีที่ผิด เส้นเสียงของเราจะหนาดังนั้นเราจึงต้องพึ่งการปรับแรงดันลมเพื่อที่จะร้องได้สูงขึ้น ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ เทคนิคการ belt ที่เหมาะสมมาจากการเรียนรู้ที่จะผสม chest voice และ head voice เพื่อให้ได้เสียงที่นุ่มนวลและทรงพลังเป็นหนึ่งเดียว อย่างไรก็ตาม อาจมีครูผู้สอนบางท่านที่สอนนักร้องให้เปล่งเสียง chest voice ให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ การฝึกร้องแบบนี้เป็นระยะเวลานานทำให้แก้ไขได้ยาก ซึ่งหลายๆครั้งนักร้องที่ชินกับการร้อง belt แบบผิดๆ ปฏิเสธการร้องแบบ mixed voice แม้ว่าการร้องแบบนี้จะฟังดูดีกว่าการร้องแบบ belt ก็ตาม

หวังว่าเพื่อนๆพอจะแยกความแตกต่างของเทคนิคการร้องในแต่ละแบบกันไปพอสมควรค่ะ การอ่านบทความนี้ช่วยทำให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราจะต้องฝึกฝนการร้องโดยทดลองใช้ส่วนต่างๆของร่างกายเพื่อที่จะเข้าใจเสียงในลักษณะต่างๆได้มากขึ้นค่ะ เมื่อเราแยกประเภทของการร้องแบบต่างๆได้แล้วเราจะสนุกกับการร้องเพลงมากขึ้นและร้องเพลงได้ดีขึ้นด้วยค่ะ


Comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *