กีตาร์นั้นถือเป็นเครื่องดนตรีที่เหมาะกับการเริ่มต้นเป็นอย่างมาก เพราะเพื่อนๆสามารถหัดเล่นเองได้และใช้เวลาไม่นานก็ฟังเป็นเพลงแล้ว หากใครที่กำลังสนใจอยากหัดเล่นกีตาร์ สิ่งที่สำคัญเลยคือเราจะต้องมีกีตาร์สำหรับฝึกซ้อม แล้วเราจะเลือกซื้อกีตาร์แบบไหนดี วันนี้เราได้สอบถามข้อมูลจากนักทำกีตาร์ “คุณตาล” ว่าเวลาเราเลือกกีตาร์เราควรเลือกจากอะไรบ้าง เดี๋ยวเราไปดูกันเลย
1.เลือกกีตาร์ระหว่างสายเหล็กและสายเอ็น
ก่อนอื่นเพื่อนๆต้องรู้ว่าเราอยากได้กีตาร์อะคุสติกแบบไหน ซึ่งมันจะมี 2 แบบด้วยกันคือ กีตาร์ที่ใช้สายเอ็น ซึ่งเราเรียกว่า กีตาร์คลาสสิค และกีตาร์สายลวด เราเรียกว่ากีตาร์โปร่ง กีตาร์สายเอ็นจะให้เสียงนุ่ม สุขุม เหมาะกับการเล่นแบบฟิงเกอร์สไตล์ กีตาร์สายลวดจะให้เสียงดังกังวานเหมาะกับการตีคอร์ด และการใชปิ๊กและฟิงเกอร์สไตล์ เพื่อนๆสามารถอ่านเพิ่มเติมในบทความ กีตาร์โปร่งกับกีตาร์คลาสสิคต่างกันอย่างไร
2.เลือกกีตาร์โดยดูจากไม้ที่ใช้
สำหรับกีตาร์นั้นเราจะมีการใช้ไม้เนื้อแข็งและลามิเนต ซึ่งปกติแล้วไม้เนื้อแข็งจะให้เสียงดีกว่าลามิเนต แต่ลามิเนตก็มีความทนทานมากกว่าและราคาถูกกว่ามาก
การใช้ไม้เนื้อแข็งในการผลิตกีตาร์นั้นจะทำให้ได้เสียงกีตาร์ที่ฉ่ำกว่าลามิเนตและสามารถเล่นเสียงดังเบาได้กว้างและชัดเจนมากกว่า แต่เนื่องด้วยไม้เนื้อแข็งนั้นมีราคาแพงดังนั้นจึงนิยมที่จะผลิตกีตาร์โดยมีการผสมผสานระหว่างไม้เนื้อแข็งและลามิเนตเข้าด้วยกัน โดยท็อปของกีตาร์นั้นจะใช้ไม้เนื้อแข็ง เนื่องจากส่วนท็อปของกีตาร์นั้นจะเป็นตัวกำหนดเสียงของกีตาร์ตัวนั้นๆ ส่วนด้านหลังและด้านข้างจะใช้ลามิเนตแทนเพื่อ เป็นการลดต้นทุนในการผลิตและทำให้กีตาร์มีความคงทนมากขึ้นอีกด้วย
3.เลือกกีตาร์โดยดูจาก Tone wood
Tone Wood คือประเภทของไม้ที่ใช้ทำเป็นโครงสร้างของกีตาร์ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่
- Top (ท็อป) – คือด้านบนของกีตาร์ ซึ่งจะเป็นส่วนที่ติดกับสายกีตาร์
- Back (แบ๊ค) คือด้านหลังของกีตาร์
- Side (ไซด์) คือด้านข้างของกีตาร์ ที่เชื่อมระหว่าง Top กับ Back
Top น้้นเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด เพราะจะเป็นตัวกำหนดเสียงของกีตาร์แต่ละตัว โดยไม้ที่นิยมใช้ในการผลิตกีตาร์ได้แก่
กีตาร์ที่ทำมาจากไม้ Rose Wood (โรสวู้ด)
เป็นไม้ที่นิยมนำมาผลิตกีตาร์มากที่สุด ซึ่งให้เบสที่ลึกและให้เสียงสูงที่ใสเหมือนระฆัง กีตาร์ที่ทำมาจาก Brazillian Rosewood นั้นให้เสียงดีมากๆ
ลักษณะเฉพาะของกีตาร์ที่ทำมาจากไม้โรสวู้ด
- จะมีความหนัก
- มีสีน้ำตาลออกแดง
- สีจะเข้มขึ้นตามอายุ
เสียงของกีตาร์ที่ทำมาจากไม้โรสวู้ด
- ให้เสียงอบอุ่น
- เสียงเบสฉ่ำ
- เสียงสูงใส
กีตาร์ที่ทำมาจากไม้ Mahogany (มะฮอกกานี)
มะฮอกกานีนั้นก็เป็นไม้ที่นิยมมาใช้ทำกีตาร์เช่นกัน ซึ่งเป็นกีตาร์ประเภทที่เล่นแบบฟิงเกอร์สไตล์ ให้เสียงที่อบอุ่นและทำเสียงดังเบาได้กว้าง จะให้เสีงย่าเบสมากขึ้น มีความทุ้มมากกว่าไม้สปรูซ
มะฮอกกานีนั้นให้สีน้ำตาลแดง ปัจจุบันมีการใช้ไม้มะฮอกกานีจากแอฟริกา ซึ่งให้เสียงที่ดีและเป็นไม้ที่เติบโตเร็ว
ลักษณะเฉพาะของกีตาร์ที่ทำจากไม้มะฮอกกานี
- หนัก
- ให้สีน้ำตาลออกแดง
- สีเข้มขึ้นเมื่อมีอายุมากขึ้น
เสียงของกีตาร์ที่ทำมาจากไม้มะฮอกกานี
- ให้เสียงเบสที่ลุ่มลึก
- ให้เสียงสูงที่อบอุ่น
กีตาร์ที่ทำมาจากไม้ Spruce (สปรูซ)
ไม้สปรูซนั้นเป็นไม้ที่นิยมมาทำกีตาร์มากที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากให้ความบาลานซ์ของเสียงได้ดี มีน้ำหนักเบากว่าไม้โรสวู้ดและไม้มะฮอกกานี ให้เสียงดังเบาที่กว้างกว่าไม้ทั้งสองชนิดข้างต้น ไม้สปรูซจะให้เสียงกลางเด่น มีความใส กังวาน เหมาะกับการเล่นแบบฟิงเกอร์สไตล์เพราะมีการตอบสนองต่อการดีดด้วยนิ้วได้ดีพอๆกับการตีคอร์ดและการใช้ปิ๊ก ไม้สปรูซที่นิยมนำมาใช้คือไม้สปรูซจากอิงเกิลแมนและยุโรป
ลักษณะเฉพาะของกีตาร์ที่ทำจากไม้สปรูซ
- น้ำหนักเบา
- สีอ่อน
- สีจะออกเหลืองมากขึ้นตามอายุ
เสียงของกีตาร์ที่ทำมาจากไม้สปรูซ
- เสียงใส
- มีความบาลานซ์ของเสียงทั้งช่วงแนวเบส ตรงกลางและเสียงสูง
- ตอบสนองได้ไม่ดีหากตีคอร์ดดังๆ
กีตาร์ที่ทำมาจากไม้ Maple (เมเปิล)
ไม้มีความแข็งแรง เนื้อแน่น ส่วนใหญ่ใช้สำหรับด้านหลังและด้านข้างของกีตาร์ ให้เสียงที่สดใส แต่ไม่เหมาะกับการทำเป็น Top ของกีตาร์
กีตาร์ที่ทำมาจากไม้ Koa (โคอะ)
เป็นไม้ที่มีลวดลายเป็นเส้นตัดกัน ซึ่งเมื่อเอามาทำกีตาร์ก็ทำให้กีตาร์นั้นมีความสวยงามมากๆ เป็นไม้เนื้อแข็ง เนื้อแน่น ซึ่งสามารถเอามาทำเป็น Top และ Back ได้ กีตาร์ที่ทำมาจากไม้โกนั้นให้เสียงที่บาลานซ์ และเสียงจะอุ่นขึ้นตามอายุของไม้
4. เลือกกีตาร์โดยดูจากรูปทรงของกีตาร์
เราจะเรียงรูปทรงของกีตาร์โดยไล่จากทรงเล็กไปหาทรงใหญ่ ดังนี้
(1.) กีตาร์รูปทรง Parlour พาร์เลอร์ (ทรง P)
เป็นกีตาร์ที่มีขนาดเล็ก มีความยาวช่วงสายแค่ 24 นิ้ว ต่างจากกีต้าร์ปัจจุบันที่จะมีความยาวช่วงสายที่ 25 นิ้ว เหมาะสำหรับคนที่ตัวเล็กๆ และเหมาะกับการพกพาไปเล่นตามสถานที่ต่างๆ
ข้อดี
- เหมาะสำหรับการเล่นแบบฟิงเกอร์สไตล์
- เหมาะสำหรับพกพา
ข้อเสีย
- เนื่องจากกีตาร์มีขนาดเล็กจึงให้เสียงเบา
(2.) กีตาร์รูปทรง Concert คอนเสิร์ต (ทรง O)
กีตาร์ทรงคอนเสิร์ตนั้นมีขนาดใหญ่กว่าทรงพาร์เลอร์เล็กน้อยแต่เล็กกว่าทรงแกรนด์ออดิทอเรียมและเดรทน็อต นักกีตาร์หลายคนชื่นชอบรูปทรงนี้เพราะมีขนาดเล็กกระชับมือ
ข้อดี
- ให้เสียงใส
- มีขนาดเล็กกระชับมือ
- เหมาะกับการเล่นแบบฟิงเกอร์สไตล์และการเล่นประกอบการร้อง
ข้อเสีย
ไม่ค่อยเหมาะกับการตีคอร์ด
(3.) กีตาร์รูปทรง Grand Auditorium แกรนด์ออดิทอเรียม (ทรงGA)
เป็นกีตาร์ที่ขนาดเล็กกว่าทรง Dreadnought (ทรง D) แต่ใหญ่กว่าทรง Concert (ทรง O) ให้เสียงใสและดัง เสียงสูงจะก้องเหมือนระฆัง
ข้อดี
- เสียงใสเหมือนระฆัง
- ให้เสียงดังเบาชัดเจน เหมาะสำหรับเล่นแบบฟิงเกอร์สไตล์และการตีคอร์ด
ข้อเสีย
- เนื่องจากขนาดเล็กจึงให้เสียงเบสไม่ดีเท่าที่ควร
(4.) กีตาร์รูปทรง Dreadnought เดรทน็อต (ทรงD)
เป็นกีตาร์ไซส์มาตรฐานที่เราเห็นกันโดยทั่วไป เนื่องจากมีขนาดใหญ่พอสมควร ดังนั้นจึงให้เสียงที่ดังกังวาน
ข้อดี
- ให้เสียงเต็มเหมาะกับการตีคอร์ดและการใช้ปิ๊ก
- ให้โทนเสียงที่ดี
ข้อเสีย
- เสียงดังเบาไม่กว้าง ไม่เหมาะกับการเล่นเกาคอร์ด
(5.) กีตาร์ทรง Jumbo จัมโบ (ทรงJ)
กีตาร์ทรงนี้มีขนาดใหญ่ที่สุด บอดี้ค่อนข้างหนา จึงให้เสียงที่ดังสะใจมาก
ข้อดี
- ให้เสียงดังมาก
- เหมาะสำหรับการเล่นประกอบกับนักร้อง
- เหมาะสำหรับการตีคอร์ด
ข้อเสีย
- ขนาดใหญ่จึงถือค่อนข้างยาก ไม่เหมาะกับคนตัวเล็ก
- ไม่เหมาะกับการเล่นแบบฟิงเกอร์สไตล์
5. เลือกกีตาร์โดยดูจากคอกีตาร์
คอของกีตาร์นั้นจะมีทั้งหมด 3 แบบได้แก่
C-Shape – ทรงนี้เป็นทรงมาตรฐานที่ใช้กันทั่วไป คอจะมีขนาดค่อนข้างเล็ก
V-Shape – ปัจจุบันไม่ค่อยมีการผลิตกีตาร์ที่มีคอแบบนี้ ส่วนมากจะเป็นรุ่นเก่า
U-Shape – คอกีตาร์ของรุ่นนี้จะค่อนข้างใหญ่ เหมาะสำหรับคนที่มีมือใหญ่และนิ้วยาว
6. เลือกกีตาร์โดยดูจากงบประมาณ
สำหรับเพื่อนๆที่เพิ่งเริ่มหัดเล่นกีตาร์ เราไม่จำเป็นต้องซื้อกีตาร์ที่มีราคาแพงมาก เพราะเนื่องจากเรากำลังหัดเล่น เราจึงอาจไม่ได้ใส่ใจในเรื่องของเสียงมากนัก ให้เพื่อนๆเลือกจากความถนัดเวลาที่เราเล่นก็จะเหมาะกว่า อย่างเช่นหากเพื่อนๆเป็นคนตัวเล็กก็อาจเลือกกีตาร์รูปทรง Concert หรือทรง GA เรายังไม่ต้องคำนึงถึง wood tone สักเท่าไหร่นัก หลังจากที่เราเล่นได้เก่งพอสมควรแล้วก็ค่อยเปลี่ยนกีตาร์ตัวใหม่ที่มีคุณภาพเสียงดีกว่าเดิมก็ได้
สำหรับเพื่อนๆที่มีงบประมาณพอสมควรก็อาจจะซื้อกีตาร์โดยดูจาก wood tone ประกอบด้วย ก็จะได้กีตาร์ที่มีคุณภาพเสียงที่ดีและใช้ได้ยาวๆไปเลย
7. เลือกกีตาร์จากการลองเล่น
สำหรับข้อนี้ถือว่าเป็นการเลือกกีตาร์ที่สำคัญมาก เพื่อนๆควรไปลองเล่นกีตาร์ที่ร้านเพื่อดูว่ากีตาร์รูปทรงไหนเหมาะสมกับบอดี้ของเรา รวมถึงขนาดมือและนิ้วของเราด้วย เพราะบางครั้งเวลาที่เราเห็นลิสท์รายการกีตาร์ยอดนิยม หลังจากเราอ่านแล้วเราอาจจะปักใจว่าเราชอบกีตาร์แบรนด์นี้ รุ่นนี้ หรือหน้าไม้แบบนี้ แต่พอเราไปเล่นแล้วเรากลับจับไม่ถนัดและเราอาจจะไม่ชอบเสียงก็ได้ ดังนั้นก่อนซื้อควรไปลองเล่นดูก็จะทำให้ได้กีตาร์ที่ถูกใจเราแน่ๆ ถ้าเพื่อนๆไปลองที่ร้านขายเครื่องดนตรี สิ่งที่เพื่อนๆต้องเช็คดูได้แก่
- มีรูปทรงบอดีและคอเข้ากับสรีระของเรา เล่นง่าย
- ทัชชิงไม่สูงจนเกินไป
- เสียงโน้ตชัด ไม่แตกพร่า
- เลือกเสียงที่เราชอบที่สุด
- เลือกตัวที่คุมหนักเบาได้ง่าย
- ไม่มีอาการคอโก่ง คอโค้ง
- ไม้หน้าบริเวณสะพานสายไม่ยกตัวขึ้นจนท้องป่อง
- ลองกดสายแล้วดีดให้ครบทุกเฟรตว่าไม่มีสายติดเฟรตหรือเสียงบอด
สำหรับใครที่เลือกกีตาร์ได้แล้วก็อย่าลืมเลือกสายด้วยนะ เพราะสายกีตาร์ก็มีความสำคัญไม่แพ้กับตัวกีตาร์เลย อยากรู้ว่าจะเลือกสายกีตาร์โปร่งอย่างไร คลิกอ่านบทความ ซื้อสายกีตาร์โปร่งรุ่นไหนดี ได้เลย หรือใครที่อยากซื้อกีตาร์ไฟฟ้าแทนก็สามารถอ่านบทความ 7 สายกีตาร์ไฟฟ้ายี่ห้อที่ดีที่สุด และอย่าลืมตั้งสายด้วยล่ะ ถ้ายังตั้งไม่เป็น อ่านบทความ วิธีตั้งสายกีตาร์แบบพื้นฐานและแอดวานซ์ ได้เลย เจอกันใหม่กับบทความฉบับหน้า
Leave a Reply