7 วิธีเลือกซื้อกีตาร์อะคุสติก เลือกอย่างไรให้คุ้มค่าเงินที่สุด

กีตาร์นั้นถือเป็นเครื่องดนตรีที่เหมาะกับการเริ่มต้นเป็นอย่างมาก เพราะเพื่อนๆสามารถหัดเล่นเองได้และใช้เวลาไม่นานก็ฟังเป็นเพลงแล้ว หากใครที่กำลังสนใจอยากหัดเล่นกีตาร์ สิ่งที่สำคัญเลยคือเราจะต้องมีกีตาร์สำหรับฝึกซ้อม แล้วเราจะเลือกซื้อกีตาร์แบบไหนดี วันนี้เราได้สอบถามข้อมูลจากนักทำกีตาร์ “คุณตาล” ว่าเวลาเราเลือกกีตาร์เราควรเลือกจากอะไรบ้าง เดี๋ยวเราไปดูกันเลย

รูปคุณตาลระหว่างทำกีตาร์

1.เลือกกีตาร์ระหว่างสายเหล็กและสายเอ็น

ก่อนอื่นเพื่อนๆต้องรู้ว่าเราอยากได้กีตาร์อะคุสติกแบบไหน ซึ่งมันจะมี 2 แบบด้วยกันคือ กีตาร์ที่ใช้สายเอ็น ซึ่งเราเรียกว่า กีตาร์คลาสสิค และกีตาร์สายลวด เราเรียกว่ากีตาร์โปร่ง กีตาร์สายเอ็นจะให้เสียงนุ่ม สุขุม เหมาะกับการเล่นแบบฟิงเกอร์สไตล์ กีตาร์สายลวดจะให้เสียงดังกังวานเหมาะกับการตีคอร์ด และการใชปิ๊กและฟิงเกอร์สไตล์ เพื่อนๆสามารถอ่านเพิ่มเติมในบทความ กีตาร์โปร่งกับกีตาร์คลาสสิคต่างกันอย่างไร

2.เลือกกีตาร์โดยดูจากไม้ที่ใช้

สำหรับกีตาร์นั้นเราจะมีการใช้ไม้เนื้อแข็งและลามิเนต ซึ่งปกติแล้วไม้เนื้อแข็งจะให้เสียงดีกว่าลามิเนต แต่ลามิเนตก็มีความทนทานมากกว่าและราคาถูกกว่ามาก

การใช้ไม้เนื้อแข็งในการผลิตกีตาร์นั้นจะทำให้ได้เสียงกีตาร์ที่ฉ่ำกว่าลามิเนตและสามารถเล่นเสียงดังเบาได้กว้างและชัดเจนมากกว่า แต่เนื่องด้วยไม้เนื้อแข็งนั้นมีราคาแพงดังนั้นจึงนิยมที่จะผลิตกีตาร์โดยมีการผสมผสานระหว่างไม้เนื้อแข็งและลามิเนตเข้าด้วยกัน โดยท็อปของกีตาร์นั้นจะใช้ไม้เนื้อแข็ง เนื่องจากส่วนท็อปของกีตาร์นั้นจะเป็นตัวกำหนดเสียงของกีตาร์ตัวนั้นๆ ส่วนด้านหลังและด้านข้างจะใช้ลามิเนตแทนเพื่อ เป็นการลดต้นทุนในการผลิตและทำให้กีตาร์มีความคงทนมากขึ้นอีกด้วย

3.เลือกกีตาร์โดยดูจาก Tone wood

Tone Wood คือประเภทของไม้ที่ใช้ทำเป็นโครงสร้างของกีตาร์ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่

  • Top (ท็อป) – คือด้านบนของกีตาร์ ซึ่งจะเป็นส่วนที่ติดกับสายกีตาร์
  • Back (แบ๊ค) คือด้านหลังของกีตาร์
  • Side (ไซด์) คือด้านข้างของกีตาร์ ที่เชื่อมระหว่าง Top กับ Back

Top น้้นเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด เพราะจะเป็นตัวกำหนดเสียงของกีตาร์แต่ละตัว โดยไม้ที่นิยมใช้ในการผลิตกีตาร์ได้แก่

กีตาร์ที่ทำมาจากไม้ Rose Wood (โรสวู้ด)

เป็นไม้ที่นิยมนำมาผลิตกีตาร์มากที่สุด ซึ่งให้เบสที่ลึกและให้เสียงสูงที่ใสเหมือนระฆัง กีตาร์ที่ทำมาจาก Brazillian Rosewood นั้นให้เสียงดีมากๆ

ลักษณะเฉพาะของกีตาร์ที่ทำมาจากไม้โรสวู้ด

  • จะมีความหนัก
  • มีสีน้ำตาลออกแดง
  • สีจะเข้มขึ้นตามอายุ

เสียงของกีตาร์ที่ทำมาจากไม้โรสวู้ด

  • ให้เสียงอบอุ่น
  • เสียงเบสฉ่ำ
  • เสียงสูงใส

กีตาร์ที่ทำมาจากไม้ Mahogany (มะฮอกกานี)

มะฮอกกานีนั้นก็เป็นไม้ที่นิยมมาใช้ทำกีตาร์เช่นกัน ซึ่งเป็นกีตาร์ประเภทที่เล่นแบบฟิงเกอร์สไตล์ ให้เสียงที่อบอุ่นและทำเสียงดังเบาได้กว้าง จะให้เสีงย่าเบสมากขึ้น มีความทุ้มมากกว่าไม้สปรูซ

มะฮอกกานีนั้นให้สีน้ำตาลแดง ปัจจุบันมีการใช้ไม้มะฮอกกานีจากแอฟริกา ซึ่งให้เสียงที่ดีและเป็นไม้ที่เติบโตเร็ว

ลักษณะเฉพาะของกีตาร์ที่ทำจากไม้มะฮอกกานี
  • หนัก
  • ให้สีน้ำตาลออกแดง
  • สีเข้มขึ้นเมื่อมีอายุมากขึ้น
เสียงของกีตาร์ที่ทำมาจากไม้มะฮอกกานี
  • ให้เสียงเบสที่ลุ่มลึก
  • ให้เสียงสูงที่อบอุ่น

กีตาร์ที่ทำมาจากไม้ Spruce (สปรูซ)

ไม้สปรูซนั้นเป็นไม้ที่นิยมมาทำกีตาร์มากที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากให้ความบาลานซ์ของเสียงได้ดี มีน้ำหนักเบากว่าไม้โรสวู้ดและไม้มะฮอกกานี ให้เสียงดังเบาที่กว้างกว่าไม้ทั้งสองชนิดข้างต้น ไม้สปรูซจะให้เสียงกลางเด่น มีความใส กังวาน เหมาะกับการเล่นแบบฟิงเกอร์สไตล์เพราะมีการตอบสนองต่อการดีดด้วยนิ้วได้ดีพอๆกับการตีคอร์ดและการใช้ปิ๊ก ไม้สปรูซที่นิยมนำมาใช้คือไม้สปรูซจากอิงเกิลแมนและยุโรป

ลักษณะเฉพาะของกีตาร์ที่ทำจากไม้สปรูซ

  • น้ำหนักเบา
  • สีอ่อน
  • สีจะออกเหลืองมากขึ้นตามอายุ

เสียงของกีตาร์ที่ทำมาจากไม้สปรูซ

  • เสียงใส
  • มีความบาลานซ์ของเสียงทั้งช่วงแนวเบส ตรงกลางและเสียงสูง
  • ตอบสนองได้ไม่ดีหากตีคอร์ดดังๆ

กีตาร์ที่ทำมาจากไม้ Maple (เมเปิล)

ไม้มีความแข็งแรง เนื้อแน่น ส่วนใหญ่ใช้สำหรับด้านหลังและด้านข้างของกีตาร์ ให้เสียงที่สดใส แต่ไม่เหมาะกับการทำเป็น Top ของกีตาร์

กีตาร์ที่ทำมาจากไม้ Koa (โคอะ)

เป็นไม้ที่มีลวดลายเป็นเส้นตัดกัน ซึ่งเมื่อเอามาทำกีตาร์ก็ทำให้กีตาร์นั้นมีความสวยงามมากๆ เป็นไม้เนื้อแข็ง เนื้อแน่น ซึ่งสามารถเอามาทำเป็น Top และ Back ได้ กีตาร์ที่ทำมาจากไม้โกนั้นให้เสียงที่บาลานซ์ และเสียงจะอุ่นขึ้นตามอายุของไม้

4. เลือกกีตาร์โดยดูจากรูปทรงของกีตาร์

เราจะเรียงรูปทรงของกีตาร์โดยไล่จากทรงเล็กไปหาทรงใหญ่ ดังนี้

(1.) กีตาร์รูปทรง Parlour พาร์เลอร์ (ทรง P)

เป็นกีตาร์ที่มีขนาดเล็ก มีความยาวช่วงสายแค่ 24 นิ้ว ต่างจากกีต้าร์ปัจจุบันที่จะมีความยาวช่วงสายที่ 25 นิ้ว เหมาะสำหรับคนที่ตัวเล็กๆ และเหมาะกับการพกพาไปเล่นตามสถานที่ต่างๆ

ข้อดี

  • เหมาะสำหรับการเล่นแบบฟิงเกอร์สไตล์
  • เหมาะสำหรับพกพา

ข้อเสีย

  • เนื่องจากกีตาร์มีขนาดเล็กจึงให้เสียงเบา

(2.) กีตาร์รูปทรง Concert คอนเสิร์ต (ทรง O)

กีตาร์ทรงคอนเสิร์ตนั้นมีขนาดใหญ่กว่าทรงพาร์เลอร์เล็กน้อยแต่เล็กกว่าทรงแกรนด์ออดิทอเรียมและเดรทน็อต นักกีตาร์หลายคนชื่นชอบรูปทรงนี้เพราะมีขนาดเล็กกระชับมือ

ข้อดี

  • ให้เสียงใส
  • มีขนาดเล็กกระชับมือ
  • เหมาะกับการเล่นแบบฟิงเกอร์สไตล์และการเล่นประกอบการร้อง

ข้อเสีย

ไม่ค่อยเหมาะกับการตีคอร์ด

(3.) กีตาร์รูปทรง Grand Auditorium แกรนด์ออดิทอเรียม (ทรงGA)

เป็นกีตาร์ที่ขนาดเล็กกว่าทรง Dreadnought (ทรง D) แต่ใหญ่กว่าทรง Concert (ทรง O) ให้เสียงใสและดัง เสียงสูงจะก้องเหมือนระฆัง

ข้อดี

  • เสียงใสเหมือนระฆัง
  • ให้เสียงดังเบาชัดเจน เหมาะสำหรับเล่นแบบฟิงเกอร์สไตล์และการตีคอร์ด

ข้อเสีย

  • เนื่องจากขนาดเล็กจึงให้เสียงเบสไม่ดีเท่าที่ควร

(4.) กีตาร์รูปทรง Dreadnought เดรทน็อต (ทรงD)

เป็นกีตาร์ไซส์มาตรฐานที่เราเห็นกันโดยทั่วไป เนื่องจากมีขนาดใหญ่พอสมควร ดังนั้นจึงให้เสียงที่ดังกังวาน

ข้อดี

  • ให้เสียงเต็มเหมาะกับการตีคอร์ดและการใช้ปิ๊ก
  • ให้โทนเสียงที่ดี

ข้อเสีย

  • เสียงดังเบาไม่กว้าง ไม่เหมาะกับการเล่นเกาคอร์ด

(5.) กีตาร์ทรง Jumbo จัมโบ (ทรงJ)

กีตาร์ทรงนี้มีขนาดใหญ่ที่สุด บอดี้ค่อนข้างหนา จึงให้เสียงที่ดังสะใจมาก

ข้อดี

  • ให้เสียงดังมาก
  • เหมาะสำหรับการเล่นประกอบกับนักร้อง
  • เหมาะสำหรับการตีคอร์ด

ข้อเสีย

  • ขนาดใหญ่จึงถือค่อนข้างยาก ไม่เหมาะกับคนตัวเล็ก
  • ไม่เหมาะกับการเล่นแบบฟิงเกอร์สไตล์

5. เลือกกีตาร์โดยดูจากคอกีตาร์

คอของกีตาร์นั้นจะมีทั้งหมด 3 แบบได้แก่

C-Shape – ทรงนี้เป็นทรงมาตรฐานที่ใช้กันทั่วไป คอจะมีขนาดค่อนข้างเล็ก

V-Shape – ปัจจุบันไม่ค่อยมีการผลิตกีตาร์ที่มีคอแบบนี้ ส่วนมากจะเป็นรุ่นเก่า

U-Shape – คอกีตาร์ของรุ่นนี้จะค่อนข้างใหญ่ เหมาะสำหรับคนที่มีมือใหญ่และนิ้วยาว

6. เลือกกีตาร์โดยดูจากงบประมาณ

สำหรับเพื่อนๆที่เพิ่งเริ่มหัดเล่นกีตาร์ เราไม่จำเป็นต้องซื้อกีตาร์ที่มีราคาแพงมาก เพราะเนื่องจากเรากำลังหัดเล่น เราจึงอาจไม่ได้ใส่ใจในเรื่องของเสียงมากนัก ให้เพื่อนๆเลือกจากความถนัดเวลาที่เราเล่นก็จะเหมาะกว่า อย่างเช่นหากเพื่อนๆเป็นคนตัวเล็กก็อาจเลือกกีตาร์รูปทรง Concert หรือทรง GA เรายังไม่ต้องคำนึงถึง wood tone สักเท่าไหร่นัก หลังจากที่เราเล่นได้เก่งพอสมควรแล้วก็ค่อยเปลี่ยนกีตาร์ตัวใหม่ที่มีคุณภาพเสียงดีกว่าเดิมก็ได้

สำหรับเพื่อนๆที่มีงบประมาณพอสมควรก็อาจจะซื้อกีตาร์โดยดูจาก wood tone ประกอบด้วย ก็จะได้กีตาร์ที่มีคุณภาพเสียงที่ดีและใช้ได้ยาวๆไปเลย

7. เลือกกีตาร์จากการลองเล่น

สำหรับข้อนี้ถือว่าเป็นการเลือกกีตาร์ที่สำคัญมาก เพื่อนๆควรไปลองเล่นกีตาร์ที่ร้านเพื่อดูว่ากีตาร์รูปทรงไหนเหมาะสมกับบอดี้ของเรา รวมถึงขนาดมือและนิ้วของเราด้วย เพราะบางครั้งเวลาที่เราเห็นลิสท์รายการกีตาร์ยอดนิยม หลังจากเราอ่านแล้วเราอาจจะปักใจว่าเราชอบกีตาร์แบรนด์นี้ รุ่นนี้ หรือหน้าไม้แบบนี้ แต่พอเราไปเล่นแล้วเรากลับจับไม่ถนัดและเราอาจจะไม่ชอบเสียงก็ได้ ดังนั้นก่อนซื้อควรไปลองเล่นดูก็จะทำให้ได้กีตาร์ที่ถูกใจเราแน่ๆ ถ้าเพื่อนๆไปลองที่ร้านขายเครื่องดนตรี สิ่งที่เพื่อนๆต้องเช็คดูได้แก่

  • มีรูปทรงบอดีและคอเข้ากับสรีระของเรา เล่นง่าย
  • ทัชชิงไม่สูงจนเกินไป
  • เสียงโน้ตชัด ไม่แตกพร่า
  • เลือกเสียงที่เราชอบที่สุด
  • เลือกตัวที่คุมหนักเบาได้ง่าย
  • ไม่มีอาการคอโก่ง คอโค้ง
  • ไม้หน้าบริเวณสะพานสายไม่ยกตัวขึ้นจนท้องป่อง
  • ลองกดสายแล้วดีดให้ครบทุกเฟรตว่าไม่มีสายติดเฟรตหรือเสียงบอด

สำหรับใครที่เลือกกีตาร์ได้แล้วก็อย่าลืมเลือกสายด้วยนะ เพราะสายกีตาร์ก็มีความสำคัญไม่แพ้กับตัวกีตาร์เลย อยากรู้ว่าจะเลือกสายกีตาร์โปร่งอย่างไร คลิกอ่านบทความ ซื้อสายกีตาร์โปร่งรุ่นไหนดี ได้เลย หรือใครที่อยากซื้อกีตาร์ไฟฟ้าแทนก็สามารถอ่านบทความ 7 สายกีตาร์ไฟฟ้ายี่ห้อที่ดีที่สุด และอย่าลืมตั้งสายด้วยล่ะ ถ้ายังตั้งไม่เป็น อ่านบทความ วิธีตั้งสายกีตาร์แบบพื้นฐานและแอดวานซ์ ได้เลย เจอกันใหม่กับบทความฉบับหน้า