โมสาร์ท Mozart คือใคร? ประวัติและผลงานแบบละเอียด

เชื่อว่าเพื่อนๆหลายคนคงเคยได้ยินชื่อของ “โมสาร์ท” กันมาบ้างพอสมควร โมสาร์ทเป็นนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่ง และมีการวิจัยดนตรีของเขามากมาย วันนี้เราจะไปดูชีวประวัติของเขากันค่ะ

Wolfgang Amadeus Mozart เป็นนักประพันธ์เพลงชาวออสเตรียที่มีชื่อเสียงมากที่สุด โมสาร์ทเป็นนักประพันธ์เพลงสมัยสมัยยุคคลาสสิค เขาเขียนเพลงทุกประเภททั้งโอเปรา ซิมโฟนี แชมเบอร์มิวสิค เปียโนและอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีการทำวิจัยเกี่ยวกับดนตรีของเขากับการพัฒนาสมองของเด็ก จึงทำให้ชื่อเสียงของโมสาร์ทโด่งดังมากยิ่งขึ้นไปอีก

ทำไมถึงจัดว่าโมสาร์ทเป็นเด็กอัจฉริยะ

โมสาร์ทโด่งดังตั้งแต่เล็กๆ เขาได้ชื่อว่าเป็น Child prodigy หรือก็คือ เด็กอัจฉริยะนั่นเอง เราไปดูกันว่าทำไมเราถึงเรียกโมสาร์ทว่าเป็นเด็กอัจฉริยะกัน

โมสาร์ทได้ชื่อว่าเป็นเด็กอัจฉริยะเนื่องจาก เขากดคอร์ดบนฮาร์พซิคอร์ดได้ด้วยอายุเพียง 3 ปี เขาเล่นเพลงเปียโนสั้นๆได้ด้วยอายุเพียง 4 ปี และขณะที่มีอายุ 5 ปี ก็เริ่มประพันธ์เพลง concerto เขาสามารถ transcribe เพลงได้โดยที่ไม่ต้องดูโน้ต นอกจากนี้เขายังประพันธ์เพลงไว้มากมายตลอดช่วงอายุขัย

ประวัติชีวิตของโมสาร์ท

โมสาร์ท” มีชือจริงว่า Wolfgang Amadeus Mozart เกิดวันที่ 27 มกราคม 1756 ที่เมืองซอลบวร์ก (Salzburg) ประเทศออสเตรีย สิ้นชีวิตวันที่ 5 ธันวาคม 1791 ในกรุงเวียนนาประเทศออสเตรีย

ชีวิตในวัยเยาว์ของโมสาร์ท

พ่อของโมสาร์ทมีชื่อว่า ลีโอโพลด์ โมสาร์ท (Leopold Mozart) เป็นคอนดัคเตอร์ เป็นนักไวโอลินและครูสอนดนตรีที่มีชื่อเสียง พ่อของโมสาร์ทได้สนับสนุนให้ลูกทั้งสองของเขาเล่นดนตรี

อย่างที่บอกไว้ข้างต้นว่า ขณะที่โมสาร์ทอายุได้ 3 ปี เขาสามารถกดคอร์ดบนฮาร์พซิคอร์ดได้ พออายุ 4 ปี สามารถเล่นเพลงสั้นๆได้ และพออายุ 5 ปีก็เริ่มประพันธ์เพลง concerto และยิ่งไปกว่านั้นเขาเล่ากันว่า

ขณะที่โมสาร์ทอายุ 5 ปีนั้น เขานอนไม่หลับก็เลย transcribe เพลงเพลงหนึ่ง โดยใช้ความจำล้วนๆ แปลว่าเขาไม่ได้ดูโน้ตเลยแต่จำโน้ตทั้งหมดได้ในหัว และยังเรียบเรียงให้กับเครื่องดนตรีอื่นๆอีกด้วย! ทำได้ขนาดนี้จะไม่ให้เรียกว่าอัจฉริยะได้ยังไงใช่มั้ยคะ

Turkish March เพลงบรรเลงเปียโน

หลังจากที่พ่อของเขาเห็นพรสวรรค์ของลูกทั้งสองคน ลืมบอกไปว่าโมสาร์ทมีพี่สาวอีกคนซึ่งเป็นอัจฉริยะเช่นกัน พ่อของเขาได้พาทั้งสองคนไปแสดงที่ Bavarian court ที่ Munich อีกสองสามเดือนต่อมาก็ไปเล่นในราชสำนักที่กรุงเวียนนา ซึ่งที่นี่เองทำให้โมสาร์ทดังเป็นพลุแตกเลยทีเดียว พอโมสาร์ทอายุได้ 17 ปีเขาก็มีผลงานการประพันธ์เพลงที่ครบทุกสไตล์แล้ว

symphony บทสุดท้ายที่โมสาร์ทประพันธ์ไว้

พ่อของโมสาร์ทพูดถึงลูกชายของเขาว่า

“The miracle which God let be born in Salzburg”

แปลว่า ลูกของเขานั้นเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่พระเจ้าให้กำเนิดขึ้นในซอลบวร์ก (salzburg) แหมพ่อของโมสาร์ทก็คลั่งลูกเอามากๆ ใครจะไม่คลั่งล่ะ ถ้าลูกครูทำแบบนี้ได้ล่ะก็คงจะโพสท์ไปทั่ว instagram แล้วล่ะ

ในปี 1763 พ่อของเขาได้ลาออกจากตำแหน่งทางด้านดนตรีที่สำคัญเพื่อพาลูกไปทัวร์คอนเสิร์ตหลายๆที่ ไม่ว่าจะเป็นที่ราชสำนักของเจ้าชายอาร์ทบิชอปในกรุงเวียนนา และยังได้เดินทางไปยังยุโรปตะวันตก ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางด้านดนตรีในขณะนั้น โดยเขากับพี่สาวได้ไปแสดงคอนเสิร์ตในกรุงต่างๆ ได้แก่ Munich, Augsburg, Stuttgart, Mannheim, Mainz, Frankfurt, Brussels, และ Paris ในเมืองเหล่านี้ส่วนใหญ่โมสาร์ทและพี่สาวของเขามักจะเล่นเพลงและด้นสดเสมอ สถานที่แสดงก็จะมีการแสดงที่ศาล บางครั้งก็แสดงที่สาธารณะหรือแม้แต่ในโบสถ์

มีการค้นพบจดหมายของลีโอโพลด์พ่อของเขา ซึ่งส่งถึงเพื่อนฝูงในซาลซ์บูร์ก โดยเล่าถึงความชื่นชมจากผู้คนทั่วโลกที่ชื่นชมความสำเร็จของลูกชายของเขาซึ่งปลุกเร้าให้ปารีสลุกเป็นไฟ

พวกเขาได้พบกับนักประพันธ์เพลงชาวเยอรมันหลายคน และขณะนั้นเองเพลงแรกของ Mozart ได้รับการตีพิมพ์ ซึ่งเพลงที่ได้รับการตีพิมพ์คือ เพลงโซนาต้าสำหรับคีย์บอร์ดและไวโอลิน (Sonata for keyboard and violin) โดยเขาอุทิศให้กับเจ้าหญิงในราชวงศ์ลอนดอน

ในระหว่างทัวร์คอนเสิร์ตครั้งนี้พวกเขาพบกัน โยฮันน์ คริสเตียน บาค ลูกชายคนเล็กของโยฮันน์ เซบาสเตียน บาค (บาคเป็นนักประพันธ์เพลงที่โด่งดังในยุคบาโรค) และนักดนตรีสำคัญๆในเมืองนั้นๆ ระหว่างนี้เองโมสาร์ทได้ประพันธ์ซิมโฟนีชุดแรกของเขาขึ้นมา หลังจากทัวร์คอนเสิร์ตจนทั่วแล้ว ครอบครัวของโมสาร์ทก็เดินทางกลับ ขากลับก็ผ่านกรุง Hague, Amsterdam, Paris, Lyon และ Switzerland ระหว่างที่ผ่านเมืองต่างๆก็แสดงคอนเสิร์ตไปทุกที่ ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1766 เขาและครอบครัวก็ได้กลับมายังซอลบวร์กอีกครั้ง

ช่วงกลางชีวิตของโมสาร์ท โมสาร์ทและพ่อของเขากลับมาจากการทัวร์คอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายในอิตาลีในเดือนมีนาคมปี 1773 ผู้มีพระคุณของพ่อลีโอโพลด์ “อาร์คบิชอป ฟอน ชรัทเทนบาค” ได้เสียชีวิตลงและสืบทอดต่อโดย “เฮียโรนีมัส ฟอน คอลเลเรโด” เมื่อพวกเขากลับมา อาร์คบิชอปคนใหม่ได้แต่งตั้งโมสาร์ทรุ่นเยาว์เป็นผู้ช่วยผู้ควบคุมคอนเสิร์ต แต่จ้างเขาด้วยเงินเดือนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ในช่วงเวลานี้เองโมสาร์ทมีโอกาสได้ทำงานในแนวดนตรีหลายประเภท ได้แก่ ซิมโฟนี เครื่องสาย โซนาตาและเซเรเนด และก็มีโอเปร่าอีกสองสามเรื่อง

ต่อมาเขาหลงใหลในการประพันธ์เพลงไวโอลินคอนแชร์โต้(violin concerto) มากๆ เขาได้แต่ง violin concerto ทั้งหมด 5 บทในปี 1776

ต่อมาเขาได้เปลี่ยนความพยายามของเขาจากการประพันธ์ไวโอลินไปสู่การประพันธ์เพลงเปียโนคอนแชร์โต้ Piano concerto ซึ่งขณะนั้นโมสาร์ทเพิ่งจะอายุแค่ 21 ปีเท่านั้น
แม้เขาจะประสบความสำเร็จในการประพันธ์เพลง แต่โมสาร์ทก็เริ่มไม่พอใจกับตำแหน่งผู้ช่วยควบคุมคอนเสิร์ตและสภาพแวดล้อมที่คับแคบของซาลซ์บูร์ก เขามีความทะเยอทะยานและเชื่อว่าเขาสามารถทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้

อาร์คบิชอปฟอนคอลโลเรโดเริ่มหมดความอดทนกับโมสาร์ทที่บ่นทอตลอดเวลาและเบื่อหน่ายกับความไม่บรรลุนิติภาวะของอัจฉริยะหนุ่ม ในเดือนสิงหาคมปี 1777 โมสาร์ทออกเดินทางเพื่อค้นหาความก้าวหน้าในอาชีพการงานของเขา แต่ครั้งนี้อาร์คบิชอปไม่อนุญาตให้ลีโอโพลด์เดินทางไปกับโมสาร์ท ดังนั้นแอนนา มาเรีย ผู้ซึ่งเป็นแม่ของโมสาร์ทก็เลยเดินทางไปกับเขาแทน

การเดินทางครั้งนี้ ทั้งสองได้ไปยังเมืองมานไฮม์ ปารีส และมิวนิก มีตำแหน่งงานหลายตำแหน่งที่เปิดรับและมีแนวโน้มว่าโมสาร์ทจะได้งานนั้นๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้รับการว่าจ้าง เขาเริ่มหมดเงินและต้องจำนำสิ่งของส่วนตัวที่มีค่าหลายอย่าง เพื่อจ่ายค่าเดินทางและค่าครองชีพ

สิ่งที่เลวร้ายที่สุดในการเดินทางครั้งนี้คือตอนที่แม่ของเขาล้มป่วยและเสียชีวิตในวันที่ 3 กรกฎาคมในปี 1778 หลังจากได้ยินข่าวการเสียชีวิตของภรรยาของเขา ลีโอโพลด์ก็เจรจากับอาร์คบิชอปเพื่อหาตำแหน่งที่ดีกว่าตำแหน่งเดิมให้โมสาร์ท โดยตำแหน่งใหม่นี้คือนักเล่นออร์แกนในศาลในซาลซ์บูร์ก และโมสาร์ทก็กลับมารับประจำตำแหน่งนี้หลังจากนั้นไม่นาน

ช่วงท้ายชีวิตของโมสาร์ท

มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของโมสาร์ท ซึ่งมากเกินกว่าจะเขียนในบทความนี้ได้หมด ครูเลยขอรวบรัดตัดตอนไปยังช่วงท้ายชีวิตของนักประพันธ์ที่อัจฉริยะผู้นี้เลยแล้วกันนะคะ

ในปี 1782 โมสาร์ทได้แต่งงานกับ คอนสแตนซ์ เว็บเบอร์ (Constanze Weber) โมสาร์ทและคอนสแตนซ์มีลูกชาย 4 คนและลูกสาว 2 คน แต่มีเพียงลูกชายสองคนที่รอดชีวิตนอกนั้นเสียชีวิตตั้งแต่ยังเป็นทารก 

ตั้งแต่ปี 1782 ถึงปี 1785 โมสาร์ทแบ่งเวลาระหว่างการทำงานประจำกับการแสดงคอนเสิร์ตที่จัดแสดงเองในฐานะศิลปินเดี่ยว โดยนำเสนอ piano concerto บทใหม่ๆสามถึงสี่รายการในแต่ละฤดูกาล ในขณะนั้นพื้นที่โรงละครที่ให้เช่าในเวียนนาบางครั้งก็หาได้ยาก ดังนั้น Mozart จึงหาสถานที่ใหม่ๆสำหรับแสดงคอนเสิร์ต เช่น ห้องขนาดใหญ่ในอาคารต่างๆและห้องบอลรูมของร้านอาหารราคาแพง

ในช่วงกลางทศวรรษ 1780 วิถีชีวิตฟุ่มเฟือยของโมสาร์ทก็เริ่มที่จะส่งผลต่อการเงินของเขา แม้เขาจะประสบความสำเร็จในฐานะนักเปียโนและนักแต่งเพลง แต่ Mozart ก็ประสบปัญหาทางการเงินอย่างร้ายแรง เนื่องจากโมสาร์ทเชื่อมโยงตัวเองกับชนชั้นสูงชาวยุโรปและใช้ชีวิตที่ฟุ่มเฟือยหรูหราแบบไฮโซเหล่านั้น

ในช่วงปลายปี 1780 โชคชะตาของโมสาร์ทนั้นได้พลิกผันอย่างมาก เขาไม่ได้มีการแสดงบ่อยๆอย่างที่ผ่านมาและการเงินของเขาก็ร่อยหรอลงเรื่อยๆ ประกอบกับขณะนั้นออสเตรียอยู่ในช่วงระหว่างสงครามจึงไม่มีการสนับสนุนศิลปะและดนตรีมากอย่างแต่ก่อน ในช่วงปี 1788 โมสาร์ทและครอบครัวตัดสินใจย้ายไปอยู่นอกเมืองโดยหวังว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้บ้าง แต่ค่าใช้จ่ายของครอบครัวเขาก็ยังคงสูงเช่นเดิม โมสาร์ทเริ่มเอ่ยปากยืมเงินจากเพื่อนฝูง แต่เขาก็ใช้หนี้ทุกครั้งหลังจากได้รับค่าตอบแทนจากการเล่นคอนเสิร์ต

ในช่วงปี 1788-1789 โมสาร์ทเริ่มเป็นโรคซึมเศร้า เค้ากล่าวกันว่าโมสาร์ทมีอาการของโรคไบโพล่าเกิดขึ้นด้วย ช่วงปี 1790-1791 ในขณะที่โมสาร์ทมีอายุ 30 กว่า เขาใช้ชีวิตในฐานะนักดนตรีผู้ผลิตงานชั้นยอด ขณะเดียวกันก็พยายามรักษาโรคซึมเศร้าของเขาไปด้วย ผลงานที่โด่งดังในช่วงท้ายชีวิตนี้คือ unfinished Requiem

โมสาร์ทเริ่มกลับมามีชื่อเสียงอีกครั้งจากความพยายามในการแสดงผลงานของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า สถานการณ์ทางการเงินของเขาเริ่มดีขึ้นเมื่อผู้มีอุปการคุณผู้มั่งคั่งในฮังการีและอัมสเตอร์ดัมมาจ้างเขาให้ประพันธ์เพลง จากจุดเปลี่ยนนี้เองเขาสามารถชำระหนี้จำนวนมากได้

อย่างไรก็ตามในช่วงเวลานี้สุขภาพกายและใจของโมสาร์ทเริ่มแย่ลง ในเดือนกันยายนปี 1791 เขาอยู่ที่ปรากเพื่อฉายรอบปฐมทัศน์ของโอเปร่า La Clemenza di Tito ซึ่งเขาได้รับมอบหมายให้ประพันธ์ขึ้นสำหรับพิธีราชาภิเษกของ Leopold ที่ 2 ต่อมามีการฉายรอบปฐมทัศน์ของโอเปร่าอีกเรื่องคือ The Magic Flute ในกรุงปราก แต่ในขณะนั้นโมสาร์ทมีอาการป่วยหนักขึ้น

ในเดือนพฤศจิกายนเขาเริ่มนอนติดเตียง ภรรยาและพี่สาวของเขามาอยู่เคียงข้างเขาเพื่อช่วยดูแลโมสาร์ทให้กลับมามีสุขภาพแข็งแรง แต่โมสาร์ทกำลังหมกมุ่นอยู่กับการแต่ง requiem ให้จบจนทำให้อาการของเขาไม่ดีขึ้นเลย

Requiem บทสุดท้ายของโมสาร์ท
โมสาร์ทถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ปี 1791 เมื่ออายุได้ 35 ปี สาเหตุของการเสียชีวิตนั้นระบุไม่แน่ชัด แต่มีการบันทึกอย่างเป็นทางการระบุสาเหตุของการตายคือเป็นไข้ป่าอย่างรุนแรง หลังจากนั้นก็มีสมมติฐานมากมายเกี่ยวกับการตายของโมสาร์ท บางคนก็บอกว่าสาเหตุมาจากไข้รูมาติกซึ่งเป็นโรคที่เขาเป็นซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาตลอดชีวิต 

มีรายงานว่างานศพของเขามีผู้มาไว้อาลัยเพียงไม่กี่คนและหลุมฝังศพของเขาก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่แต่เป็นเพียงหลุมศพธรรมดาเหมือนคนทั่วไป อย่างไรก็ตามพิธีรำลึกถึงโมสาร์ท "นักประพันธ์เพลงผู้ยิ่งใหญ่"และคอนเสิร์ตที่จัดขึ้นในกรุงเวียนนาและปรากก็มีผู้คนมากมายเข้าร่วม 

หลังจากที่เขาเสียชีวิต คอนสแตนซ์ภรรยาของเขาได้ขายต้นฉบับที่ไม่ได้ตีพิมพ์หลายฉบับของเขาเพื่อชำระหนี้ก้อนโตของครอบครัว เธอได้รับเงินค่าลิขสิทธ์จากเพลงของเขาและจากการจัดคอนเสิร์ตเพื่อระลึกถึงโมสาร์ท ซึ่งทำกำไรได้หลายต่อหลายครั้งเลยทีเดียว จากความพยายามเหล่านี้ภรรยาของเขาได้รับความมั่นคงทางการเงินมากพอสมควร เธอมีเงินจับจ่ายใช้สอยสำหรับตัวเองและส่งเสียให้ลูกๆ ของเธอไปโรงเรียนเอกชน 

การเสียชีวิตของโมสาร์ทเกิดขึ้นในขณะที่เขาอายุไม่เท่าไหร่ ในช่วงเวลาที่เขาเสียชีวิตนั้น โมสาร์ท ถือเป็นหนึ่งในนักประพันธ์เพลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ดนตรีของเขาแสดงออกถึงความกล้าหาญ บ่อยครั้งมีความซับซ้อนและไม่สอดคล้องกัน ดนตรีของเขาต้องการความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคระดับสูงจากนักดนตรีที่แสดงมัน 

มีการเขียนชีวประวัติของเขาจึงทำให้ผลงานของเขาเป็นที่นิยมตลอดศตวรรษที่ 19 นักดนตรีคนอื่นๆได้นำเพลงของเขามาเรียบเรียงเสียงประสานและแสดงเพลงของเขาอย่างต่อเนื่อง ผลงานของเขามีอิทธิพลต่อนักประพันธ์เพลงหลายคนในเวลาต่อมา โดยเฉพาะกับนักประพันธ์เพลงที่มีชื่อเสียงอย่าง เบโธเฟน 

ผลงานของโมสาร์ทและเพื่อนของเขาโจเซฟ ไฮเดน(นักประพันธ์เพลงที่มีชื่อเสียงในยุคคลาสสิค)ได้ปรับแต่งรูปแบบที่ยิ่งใหญ่ของซิมโฟนี โอเปร่า วงดนตรีเครื่องสาย และคอนแชร์โต้ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งยุคคลาสสิก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โอเปร่าของเขาแสดงความเข้าใจที่ลึกซึ้งทางจิตวิทยา ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะสำหรับดนตรีในขณะนั้น และยังคงสร้างความประทับใจให้กับนักดนตรีและผู้รักดนตรีในปัจจุบันต่อไป

ผลงานที่สำคัญของโมสาร์ท

เขาได้ประพันธ์เพลงหลากหลายสไตล์ไม่ว่าจะเป็น

Symphony

Symphony No. 41 in C, K. 551 (Jupiter)

การประพันธ์เพลง symphony ของโมสาร์ทนั้น ครอบคลุมช่วงเวลา 24 ปี ระหว่างปี 1764-1788 (อายุ 8-32ปี) จากการค้นพบครั้งล่าสุดพบว่าโมสาร์ทไม่ได้เขียนเพียงแค่ซิมโฟนี 41 ชิ้นตามที่รายงานในฉบับดั้งเดิม แต่จริงๆแล้วประพันธ์ไว้ทั้งหมด 68 ชิ้น! อย่างไรก็ตามตามธรรมเนียมแล้วซิมโฟนีบทสุดท้ายของเขายังคงเป็นที่รู้จักในชื่อ “หมายเลข 41” ซิมโฟนีบางเพลง (K. 297, 385, 550) ได้รับการแก้ไขบางส่วนโดยนักประพันธ์ท่านอื่นๆหลังจากเวอร์ชั่นแรกได้ตีพิมพ์แล้ว

concerto

Mozart – Violin Concerto No. 3 in G, K. 216

มีการประพันธ์ concerto ให้กับเครื่องดนตรีต่างๆดังนี้

  • piano concertos
  • violin concertos
  • horn concertos
  • woodwind concertos
  • concerto for trumpet
  • cello concerto

Piano ผลงานเปียโน

piano sonata

ผลงานเปียโนได้แก่ Sonata, Prelude, Rondo และอื่นๆ มีการประพันธ์เพื่อแสดงเดี่ยวและสำหรับนักเปียโนหลายๆคนดังนี้

solo piano การแสดงเดี่ยวเปียโน

piano 4 hands เปียโน 4 มือ

piano duet เปียโนดูเอ็ท

Chamber music

Mozart – String Quartet No. 4 in C, K. 157
  • Violin music
  • String quartets
  • String quintets
  • Piano trios

Operas

ผลงานโอเปร่าที่มีชื่อเสียง เช่น

Don Giovanni

The marriage of figero

Opera “The marriage of figaro”

ผลงานอื่นๆ

ได้แก่ Serenades, Divertimenti, Marches, Dances, Sacred music Church, sonatas, Organ music, Concert, arias, songs canons และอื่นๆ

วันนี้เพื่อนๆได้เรียนรู้ประวัติของนักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่กันไปแล้ว รู้สึกอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับครูพอครูเขียนบทความนี้จบก็ยิ่งรู้สึกภูมิใจที่ได้เล่นเพลงของนักประพันธ์ที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ ทุกครั้งที่เล่นเพลงของโมสาร์ทครูจะรู้สึกว่ามันมันโล่งและรู้สึกมีความสุขทุกครั้งจริงๆ

เรื่องราวของโมสาร์ทยังมีอีกหลายต่อหลายเรื่องมากๆ ครั้งหน้าครูจะมาเล่าว่า เพลงของโมสาร์ทนั้นส่งผลอย่างไรต่อพัฒนาการของเด็กบ้าง สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อนค่ะ เจอกันใหม่ในบทความหน้านะคะ