เลือกครูสอนเปียโนอย่างไรดี

เคล็ดลับในการเรียนเปียโนให้ประสบความสำเร็จที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งเลยคือ การมีครูสอนที่ดี เพราะหากเรามีครูสอนเปียโนที่ดี ครูก็จะนำพาเราไปถึงจุดหมายโดยใช้เวลาสั้นลง วันนี้ครูเลยจะมาแนะนำวิธีเลือกครูสอนเปียโนกันค่ะ

การเลือกครูสอนเปียโนต้องดูว่าเราอยากเล่นเพลงสไตล์ไหนก่อน เมื่อเราเลือกได้แล้วก็มาหาครูที่สอนสไตล์นั้นๆ และก็ดูเรื่องค่าใช้จ่ายว่าเราสามารถจ่ายได้ในระยะยาวหรือไม่ เมื่อเลือกครูได้แล้วอย่างสุดท้ายก็คือสัมภาษณ์ครู เพื่อดูแนวทางในการสอน และกิจกรรมเสริมเช่นการแสดงคอนเสิร์ต การส่งสอบหรือการเข้าแข่งขันในรายการต่างๆ

1.เลือกสไตล์เพลงที่อยากเล่น

ก่อนที่เราจะเลือกครูสอนเปียโนนั้น สิ่งสำคัญคือเราต้องรู้จักตัวเองก่อน เราต้องรู้ว่าเราต้องการเล่นสไตล์ไหน ซึ่งสไตล์เพลงที่สำคัญๆในเปียโนก็จะแบ่งเป็น 3 สไตล์ได้แก่

สไตล์คลาสสิค

สไตล์เพลงคลาสสิค ” The Tempest” Beethoven

สไตล์คลาสสิคก็จะเป็นเพลงที่มีความซับซ้อนในด้านของการเรียบเรียงเสียงประสาน มีแนวทำนองซ้อนไปมา มีฟอร์มของเพลงที่หลากหลายมากๆ เพลงส่วนมากจะค่อนข้างยาว บางเพลงยาวเป็นชั่วโมงเลยนะคะ ส่วนมากจะเป็นการบรรเลงโดยเครื่องดนตรีไม่มีเนื้อร้องยกเว้นเพลงร้อง เช่นเพลงโอเปรา เพลงคลาสสิคจะมีเทคนิคที่ยากและต้องการความละเมียดละไมในการเล่น ตัวอย่างของเพลงคลาสสิคก็เช่นเพลง Moonlight Sonata ของ บีโธเฟน เพลง Turkish March ของโมสาร์ท และเพลง Nocturne ของโชแปง

ความยากในการเล่นเปียโนเพลงคลาสสิคอยู่ตรงไหน

สไตล์นี้จะใช้เวลาเรียนนานที่สุดและต้องใช้ความอดทนอย่างมาก เพราะสไตล์เพลงคลาสสิคนั้นจะเราจะพยายามเล่นให้ตรงตามระเบียบแบบแผนที่ปฏิบัติกันมา ดังนั้นมันจึงมีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะมากๆ และในด้านเทคนิคการเล่นก็ต้องใช้ความแข็งแรงของนิ้วมากๆ ซึ่งตามธรรมชาตินั้น นิ้ว 4และ5 (นิ้วนางและก้อย) ก็จะไม่แข็งแรงเท่านิ้วอื่นๆ ดังนั้นจึงต้องฝึเพื่อให้มีความแข็งแรงพอที่จะเล่นเพลงคลาสสิคยากๆได้ มือซ้ายก็เช่นกัน หากเราถนัดมือขวามือซ้ายก็จะเล่นแล้วไม่ค่อยถนัดเท่าที่ควร ก็ต้องฝึกกันไปจนกว่าจะมีความแข็งแรงมากขึ้นค่ะ

สไตล์ป๊อบ

เพลงเปียโนสไตล์ป๊อบ ” Loving You” Minnie Riperton

สไตล์นี้เชื่อว่านักเรียนทุกคนจะต้องอยากเล่นกันแน่ๆ เพราะสไตล์ป๊อบคือเพลงสมัยนิยม ซึ่งพูดง่ายๆก็คือเพลงที่เราฟังกันอยู่ในปัจจุบันนั่นเองค่ะ เพลงป๊อบจะเป็นเพลงที่มีทำนองที่ไม่ซับซ้อน มีคอร์ดอยู่ 4-5 คอร์ดต่อเพลงและเล่นวนไปจนจบ ส่วนที่สำคัญคือจะมีเนื้อร้องประกอบซึ่งทำให้เราอินกันจนร้องไห้ หรือว่าฟังแล้วสามารถฝันหวานได้เลย

ความยากในการเล่นเปียโนเพลงป๊อบ

สิ่งที่ยากสำหรับการเรียนสไตล์นี้คือ ส่วนมากเราจะเรียนกันโดยอ่านโน้ตที่มือขวาและอ่านคอร์ดที่มือซ้าย ซึ่งเราเรียกโน้ตลักษณะนี้ว่า Lead Sheet การเล่นจะต้องมีการใส่ลูกเล่นเพิ่มจากโน้ตที่มีอยู่และมือซ้ายก็จะไม่ได้เล่นตรงๆตามคอร์ดที่เห็น แต่ก็จะมีแพทเทิร์นที่ใช้กันบ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ใช้กันตายตัวและสามารถพลิกแพลงได้หลายแบบ การเล่นเพลงๆหนึ่งที่มี Lead Sheet อันเดียวกัน ผู้เล่นแต่ละคนก็จะเล่นต่างๆกันตามเทคนิคและสไตล์ของแต่ละคน

ตัวอย่าง lead sheet

สไตล์แจ๊ส

เป็นสไตล์ที่มีการ improvise (ด้นสด) เป็นหัวใจหลัก ประกอบกับการใช้คอร์ดที่หวือหวาซึ่งทำให้เพลงมีความน่าสนใจมากขึ้น บางครั้งมีการร้อง บางครั้งไม่มีการร้องประกอบ อาจเล่นเป็นโซโลหรือเป็นวงก็ได้

ความยากของการเรียนเปียโนสไตล์แจ๊ส

สไตล์นี้มีความยากในเรื่องของจังหวะเพราะส่วนใหญ่จะเล่นในจังหวะยก การใส่คอร์ดที่มีความซับซ้อนมากกว่าการเล่นเปียโนป๊อบ คอร์ดที่ใช้จะเรียกว่า Tension Chord ซึ่งคือคอร์ดที่มีการใส่โน้ตเพิ่มมากกว่าคอร์ดธรรมดา เช่นคอร์ด C ประกอบไปด้วยโน้ตตัวที่ 1-3-5 ของสเกล หรือ C7 ประกอบไปด้วยโน้ตตัวที่ 1-3-5-7 แต่ในคอร์ดแจ๊สนั้นจะมีการใส่ตัวที่ 9, 11, 13 เพิ่ม และนอกจากนี้ยังมีการใส่ Sharp และ flat กับตัวที่ 9, 11 และ 13 อีกด้วย และแน่นอนว่านิ้วเราเล่นคอร์ดพวกนี้ไม่พอแน่ ดังนั้นก็มีการเลือกตัดโน้ตบางตัวทำให้งงกันเข้าไปอีก ยังมีคอร์ดอื่นๆในเพลงแจ๊สอีกมากมายที่ทำให้ต้องฝึกกันไป

อย่างที่บอกว่าสิ่งสำคัญในการเรียนเปียโนสไตล์แจ๊สคือเราจะต้อง Improvise (การด้นสด) ซึ่งต้อง Improvise กันแบบเต็มๆ ทั้งท่อนเลย ไม่เหมือนกับแนวป๊อบที่จะมีการ improvise (การด้นสด) เล็กน้อยด้วยการใส่ fill in อีกอย่างคือเพลงแจ๊สจะใช้บันไดเสียงแบบโหมด ซึ่งถ้าใครเรียนเปียโนคลาสสิคหรือเปียโนป๊อบมาก็ต้องไปเรียนรู้เรื่องทฤษฎีเรื่องโหมดกันลึกพอสมควรค่ะ

2. เลือกครูที่มีความถนัดในสไตล์ที่เราอยากเล่น

เมื่อเราสำรวจตัวเองดูแล้วว่าเราอยากเล่นเปียโนแนวไหน ต่อมาก็เริ่มหาครูสอนเปียโนที่ถนัดสอนเปียโนแนวนั้นๆ ซึ่งครูสอนเปียโนหลายๆคนก็สามารถสอนได้หลายสไตล์ เช่นครูสอนเปียโนที่จบสายเปียโนคลาสสิคส่วนใหญ่จะสอนเปียโนป๊อบได้ แต่ถ้าจะให้สอนแนวเปียโนแจ๊สอาจจะต้องสอบถามกันอีกทีเพราะเป็นอีกแขนงหนึ่งเลย ครูที่จบเปียโนสายแจ๊สส่วนมากก็จะสอนเปียโนแนวป๊อบด้วยแต่อาจจะไม่ถนัดสอนเปียโนแนวคลาสสิคค่ะ

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราเลือกครูสอนเปียโนไม่ตรงกับสไตล์ที่เราอยากเรียน

ถ้าเราอยากเรียนเปียโนคลาสสิคและเลือกครูที่ถนัดป๊อบ ครูก็จะไม่สามารถให้รายละเอียดในการเล่นเพลงนั้นๆได้ และไม่สามารถสอนเทคนิคในการฝึกซ้อมเพื่อให้เล่นท่อนที่ยากๆได้ กลับกันถ้าเราอยากเรียนป๊อบหรือแจ๊สครูสอนคลาสสิคที่ไม่ถนัดแนวนี้ก็อาจจะให้เราเล่นโดยการอ่านโน้ตเหมือนการเล่นแนวคลาสสิค และเราก็จะไม่ได้เรียนเรื่องคอร์ดหรือเรื่องการ Improvisation (การด้นสด) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเปียโนป๊อบและแจ๊ส

ทั้งนี้ทั้งนั้นเราอาจจะอยากเรียนหลายๆสไตล์ก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ต้องดูว่าเราอยากเรียนสไตล์ไหนมากที่สุด แล้วก็ค่อยเลือกครูที่สอนได้หลายๆสไตล์และถนัดสไตล์ที่เราชอบด้วย อย่างนักเรียนของครูก็จะเล่นทั้งสไตล์คลาสสิคและป๊อบ การเรียนเปียโนสไตล์คลาสสิคก็จะช่วยปูพื้นฐานให้เล่นเปียโนเพลงป๊อบได้ง่ายขึ้นค่ะ

3. ดูเรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียนเปียโน

หลังจากที่เราเลือกครูได้แล้ว ต่อมาก็ต้องดูเรื่องของค่าใช้จ่ายในการเรียน โดยทั่วไปการเรียนเปียโนส่วนมากครูจะเก็บเป็นรายเดือนหรือรายคอร์ส (10-12 ครั้ง) และนักเรียนจะมาเรียนสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ยกเว้นถ้ามีการสอบเกรดหรือการแข่งขันก็อาจจะเรียนเป็นสัปดาห์ละ 2 ครั้งขึ้นไป การเรียนส่วนมากจะสามารถลาได้ 2 ครั้งต่อ 1 คอร์ส ราคาก็จะมี 500บาท/ชม. ไปจนถึง 4,500 บาท/ชม.

สิ่งสำคัญคือ เราต้องคิดในระยะยาวว่าราคาไหนที่เราคิดว่าเราสามารถจ่ายได้โดยไม่รู้สึกว่าหนักจนเกินไปและสามารถจ่ายอย่างน้อย 1 ปีขึ้นไป เพราะการเรียนเปียโนนั้นจริงๆแล้วใช้เวลากันเป็นปีๆค่ะ หากเรียนเปียโนแนวคลาสสิคก็จะต้องเรียนกันหลายต่อหลายปีมากๆ กว่าจะเก่ง เรียกว่า 5 ปีขึ้นไปเป็นอย่างต่ำ ส่วนการเรียนเปียโนป๊อบอาจจะใช้เวลาสั้นกว่าพอสมควร ก็ต้องดูว่าอยากจะเล่นได้ถึงขนาดไหนด้วยค่ะ บางครั้งแนวป๊อบอาจใช้เวลาเป็นหลักเดือน หากต้องการเล่นแบบตีคอร์ดเหมือนกีตาร์ แต่ถ้าต้องการเล่นแบบจัดเต็มก็ใช้เวลาเป็นปีๆค่ะส่วนแนวแจ๊สนั้นก็ใช้เวลาหลักปีเช่นกันค่ะ

4. สัมภาษณ์ครูสอนเปียโน

เมื่อได้ครูสอนเปียโนที่คิดว่าถูกใจแล้ว ทีนี้เราก็ต้องมาพูดคุยกับครูว่าแนวการสอนของครูเป็นอย่างไร และเช็คดูว่าถ้าเราบอกความต้องการของเราไป ครูเข้าใจหรือไม่ หรือครูอธิบายแนวทางการสอนที่ตรงกับใจเราหรือเปล่า หากครูคัดค้านความต้องการของเราโดยไม่มีความยืดหยุ่นหรือให้เหตุผลที่สมควรเลย ครูสอนเปียโนคนนี้ก็อาจจะไม่ใช่ครูที่เราต้องการ แต่ตรงนี้ต้องระวังนิดนึงนะคะว่าอย่าไปขอเล่นเพลงที่มันยากจนเป็นไปไม่ได้

ครูเคยมีเด็กมาขอเล่นเพลง Pirate of the caribean เวอร์ชัน Jarrod Radnich (ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่เรียกว่า Virtuoso คือเล่นยากและใช้เทคนิคการเล่นแบบคลาสสิคขั้นสูง) นักเรียนขอเล่นเพลงนี้ตอนมาสมัครเรียนและไม่เคยเล่นเปียโนมาก่อนเลย ซึ่งแน่นอนว่าครูก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้ ต้องเรียนหลายปีกว่าจะเล่นแบบนี้ได้ ดังนั้นใครที่คิดว่าอยากจะเล่นเพลงอะไรก็ต้องดูก่อนนะคะว่าเพลงนั้นยากเกินไปหรือไม่และหากครูแนะนำอะไรก็ควรจะฟังไว้บ้างค่ะ

สิ่งที่ควรสอบถามครูสอนเปียโนเรื่องต่อมาคือ กฏกติกาการเข้าเรียน เช็คดูว่าเราลาเรียนเปียโนได้กี่ครั้ง มีชดเชยอย่างไรบ้าง และสอบถามเกี่ยวกับเรื่องการจัดกิจกรรมที่จะช่วยส่งเสริมการเรียนเปียโนเช่น มีการจัดการแสดงเปียโนคอนเสิร์ตหรือไม่ มีการส่งสอบเพื่อวัดระดับการเรียนเปียโนหรือไม่ ของที่ไหน (สถาบันส่งสอบที่ได้มาตรฐานสากลก็จะมีของ Trinity และ Royal ค่ะ) หากสนใจอยากเข้าแข่งขันเปียโนก็สอบถามครูเช่นกันว่ามีการส่งเข้าแข่งกันในรายการแข่งขันเปียโนหรือไม่

หากเพื่อนๆทำตามขั้นตอนนี้รับรองว่าได้ครูที่ถูกใจแน่ๆ ค่ะ อย่าลืมว่าการหาครูเป็นสิ่งสำคัญมาก ดังนั้นจึงไม่ควรรีบร้อนเพราะหากเราได้ครูที่สอนไม่เก่งก็จะทำให้เราต้องใช้เวลาในการฝึกนานขึ้นและที่แย่ที่สุดคือเราก็จะเล่นเพลงที่อยากเล่นไม่ได้ และก็จะทำให้รู้สึกท้อแท้และจะสูญเสียความมั่นในทั้งในเรื่องการเรียนเปียโนและเรื่องอื่นๆตามมาอีกค่ะ