ร้องเพลงสากลอย่างไรให้เพราะ

การร้องเพลงสากลและการร้องเพลงไทยนั้นจะมีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องของการออกเสียงและการใช้เสียง การร้องเพลงสาลนั้นค่อนข้างท้าทายมากๆ โดยเฉพาะหากเราไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ การจะร้องให้ไม่ติดสำเนียงไทยนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะหากเราต้องโฟกัสเกี่ยวกับเทคนิคการร้องเพลง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของลมหายใจเรื่องของการร้องจากกระบังลมและยังต้องมาโฟกัสในเรื่องของการออกเสียงคำให้ชัดอีก ก็อาจจะทำให้เราท้อแท้ได้เลยล่ะค่ะ แต่เพื่อนๆไม่ต้องกังวลไปค่ะ วันนี้ครูมีเทคนิคที่จะช่วยให้เราร้องเพลงสากลให้ดีขึ้น ไม่ว่าเพื่อนๆจะไปร้องตามงานสังสรรค์ ร้องอยู่บ้านหรือร้องตามร้านคาราโอเกะกับเพื่อนๆ ก็ไม่เป็นปัญหาค่ะ เพื่อนๆคนไหนที่ชอบร้องเพลงคาราโอเกะอย่าพลาดอ่านบทความ ร้องเพลงคาราโอเกะอย่างไรให้เพราะ คราวหน้าไปร้องกับเพื่อนๆจะได้ร้องได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้นค่ะ

1. หาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษาอังกฤษให้มากขึ้น

1.1 เข้าใจลักษณะเสียงเฉพาะของภาษาอังกฤษ

  • การออกพยัญชนะต้นและสระในภาษาอังกฤษให้ถูกต้อง

ตัวอักษรในภาษาอังกฤษนั้น ส่วนใหญ่แล้วเราจะสามารถเทียบเคียงกับตัวอักษรในภาษาไทยได้ เช่นตัว “G” ก็จะแทนด้วยตัวอักษร “ก” ตัว “B” คือตัว “บ” แต่ก็มีตัวอักษรและสระอีกหลายๆตัวที่เราไม่สามารถเทียบกับภาษาไทยได้ เช่นตัว “V” แม้ว่าส่วนใหญ่เราจะเห็นว่ามีการแทนตัว “V” ด้วยตัว “ว” แต่การออกเสียงของทั้งสองตัวนั้นมีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก ตัว V นั้นจะออกเสียงผสมระหว่างตัว “ว” กับตัว “ฝ” นอกจากนี้ก็ยังมีตัว K กับตัว C ตัว R และตัว L ที่ออกเสียงค่อนข้างยาก วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะช่วยให้เพื่อนๆออกเสียงได้ถูกต้องคือการฝึกการออกเสียงแบบโฟนิคส์ ลองเปิดคลิปวีดีโอด้านล่างและฝึกออกเสียงไปพร้อมๆกับเจ้าของภาษาได้เลยค่ะ

  • คำผสมพยัญชนะ 2 ตัวในภาษาอังกฤษ

คำอีกประเภทหนึ่งที่เห็นคนไทยออกเสียงผิดบ่อยๆก็คือคำที่ประกอบไปด้วยตัวอักษร 2 ตัวผสมกัน เช่น “sh, ch, th” ครูจะยกตัวอย่างตัว “th” ก็แล้วกันนะคะเพราะค่อนข้างชัดเจน ตัว “th” นั้นเมื่อตอนเด็กๆเราเรียนกันว่ามันออกเสียงเป็นตัว “ด” ใช่มั้ยคะ เช่นคำว่า the (เดอะ) that (แดท) แต่จริงๆแล้วตัว th นั้นไม่ได้ออกเสียงด้วยตัว ด แบบภาษาไทย แต่เวลาที่เราออกเสียงเราจะต้องเอาลิ้นมาไว้ด้านหลังฟันแล้วออกเสียงตัว “ธ” ไปพร้อมๆกัน ยังมีตัวอักษรและสระอีกหลายตัวที่เราไม่มีในภาษาไทย หากเพื่อนๆอยากร้องเพลงสากลให้เพราะล่ะก็เราจะข้ามเรื่องนี้ไปไม่ได้เลยค่ะ แม้ว่าเราจะเสียงดีเสียงเพราะแค่ไหน แต่หากคนฟังฟังไม่เข้าใจก็แสดงว่าเรายังไม่ประสบความสำเร็จในการร้องเพลงภาษาอังกฤษค่ะ ลองดูตัวอย่างการออกเสียงตัวอักษรผสมได้จากคลิปด้านล่างค่ะ

  • ตัวสะกดในภาษาอังกฤษ

นอกจากเราจะต้องรู้การออกเสียงของพยัญชนะแต่ละตัวแล้ว ตัวสะกดนั้นก็มีความสำคัญเช่นกัน เช่น คำว่า “love” เราจะไม่ออกเสียงว่า “เลิป” ด้วยตัว “บ” หรือ “ป” แต่เราจะออกเสียงตัวสะกดเป็นตัว “เลิฟ” เพื่อนๆต้องแน่ใจว่าเราออกเสียงตัว “ฟ” ตรงท้ายคำด้วย ทุกคำในภาษาอังกฤษจะมีการออกเสียงตัวสะกดที่ท้ายคำซึ่งต่างจากในภาษาไทย ดังนั้นเพื่อนๆจะต้องใส่ใจในเรื่องนี้ให้มากเพราะถ้าเราไม่ออกเสียงตัวสะกดคนฟังก็จะไม่รู้ว่าเราออกเสียงคำว่าอะไรค่ะ

ในบทความนี้ครูจะไม่ได้อธิบายเรื่องภาษาอังกฤษแบบละเอียด หากเพื่อนๆต้องการวิธีการออกเสียงคำต่างๆ ให้ชัดมากขั้น ให้ศึกษาเกี่ยวกับการออกเสียงโฟนิคส์ในภาษาอังกฤษก็จะช่วยให้ออกเสียงคำได้ชัดเจนขึ้นค่ะ

ตัวอย่างการออกเสียงคำว่า Love แบบที่ผิดและแบบที่ถูก

1.2 เข้าใจความหมายของเพลงที่ร้อง

นอกจากเราจะต้องออกเสียงภาษาอังกฤษให้ถูกต้องแล้ว สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือการเข้าใจความหมายของเพลงที่ร้อง เพราะการร้องเพลงนั้นสิ่งสำคัญที่สุดก็คือการสื่อความหมายของเนื้อเพลงให้คนฟังได้เข้าถึงอารมณ์ของเพลงให้ได้มากที่สุด หากเราร้องโดยไม่ได้รู้ความหมายของเพลงเราก็จะไม่รู้ว่าเพลงนี้พูดถึงอะไร เราก็จะสื่อความหมายของเพงออกมาไม่ได้ หากเพื่อนๆไม่รู้ความหมายของเพลงที่เราร้องก็ไม่ต้องกังวลไปค่ะ ลองเซิร์ชชื่อเพลงใน Google แล้วก็เขียนว่า แปลความหมาย ส่วนใหญ่ก็จะมีแปลเกือบทุกเพลงนอกจากเราจะเลือกเพลงที่ไม่ดังเอามากๆ ก็จะไม่มีใครแปลเพลงนั้นๆให้เราค่ะ เราก็จะต้องแปลเองด้วยการเข้าไปที่ Google translate จากนั้นก็ก็อปปี้เนื้อเพลงไปวางมันก็จะแปลให้เราทั้งหมดเลย อาจจะไม่สละสลวยเท่าไหร่แต่ก็พอรู้ความหมายค่ะ

ตัวอย่างการแปลความหมายเพลงจาก Google translate

1.3ไม่พยายามออกเสียงให้ชัดมากจนเกินไป

เพื่อนๆหลายคนอาจจะงงว่าทำไมข้อแรกครูบอกให้ออกเสียงให้ชัด แต่พอมาข้อนี้บอกว่าไม่ต้องออกเสียงชัดจนเกินไป หลายๆครั้งเวลาที่เราพยายามพูดประโยคภาษาอังกฤษ เราก็พยายามออกเสียงให้ชัดทุกคำ พอเวลาเอามาพูดต่อกันเป็นประโยคมันก็เลยขาดความต่อเนื่องเพราะเราเน้นเป็นคำๆจนเกินไปทำให้ฟังเข้าใจยาก เวลาที่เจ้าของภาษาพูดนั้น พวกตัวสะกดต่างๆเขาจะออกเสียงเบาๆแล้วก็สั้นๆ เขาจะไม่คิดเป็นคำๆแต่จะคิดเป็นประโยคไปเลย การพูดประโยคในภาษาไทยก็เช่นกัน เวลาที่เราพูดเราไม่ได้พยายามออกเสียงเน้นๆเป็นคำๆถูกมั้ยคะ เพราะถ้าเราทำแบบนั้นเราก็จะพูดเหมือนกับหุ่นยนต์เลย เราจะต้องพยายามทำให้ประโยคนั้นลื่นไหลมากที่สุดจึงจะน่าฟังและก็ฟังได้เข้าใจมากกว่าค่ะ

ตัวอย่างการพยายามออกเสียงให้ชัดมากเกินไปและตัวอย่างการร้องเป็นประโยคที่ถูกต้อง (ครูขอให้แฟนที่เป็นอเมริกันมาช่วยร้องให้ อาจจะร้องผิดจังหวะบ้างอะไรบ้างต้องขออภัยด้วยนะคะ เน้นฟังการออกเสียงนะคะ)

1.4 เข้าใจการเน้นคำในภาษาอังกฤษ

การเน้นคำในภาษาอังกฤษนั้นจะต้องอาศัยความเคยชินจากการได้ยินบ่อยๆ หากเพื่อนๆเปิดดูทีวีเป็นภาษาอังกฤษก็จะช่วยได้มากเลยล่ะค่ะ ตอนที่ครูมาอยู่อเมริกาใหม่ๆ ครูก็เน้นคำผิดที่อยู่หลายคำเลย ทำให้การสื่อสารค่อนข้างลำบากอยู่พอสมควรเลยค่ะ เดี๋ยวครูลองยกมาสัก 1 ตัวอย่างดีกว่า เอาคำว่า “photography” ก็แล้วกันนะคะ ครูออกเสียง “โฟโตกร๊าฟฝี่” โดยครูเน้นตรงคำว่า “กร๊าฟ” พูดไป 3 ครั้งไม่มีใครเข้าใจเลย ตอนหลังครูเลยสะกดคำให้เขาฟัง เขาก็เลยถึงบางอ้อกันและก็ออกเสียงให้ครูดูว่า มันจะต้องเน้นไปที่ตัวที่ 2 คือ “to” ครูฝึกอยู่ตั้งนานค่ะกว่าจะชิน ตอนนี้คำนี้ไม่มีพลาดแล้ว ครูโชคดีที่มีโอกาสได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษกับเจ้าของภาษาโดยตรง แต่หากเพื่อนๆไม่มีคนช่วยล่ะก็ เราสามารถกดพิมพ์คำต่างๆลงไปใน Google translate แล้วกดตรงปุ่มออกเสียงแล้วก็หัดฝึกตามก็ได้เช่นกันค่ะ อาจจะลองอัดเวลาที่เอาออกเสียงดูด้วยจะได้เอามาเทียบดูว่าเราออกเสียงเหมือนหรือไม่

ตัวอย่างการเน้นคำในตำแหน่งที่ผิดและตำแหน่งที่ถูกต้อง

1.5 การร้องสระบางคำจะไม่เหมือนกับที่เขียน

เพื่อนๆรู้ไหมคะว่า เวลาที่นักร้องฝรั่งเขาร้องเพลงกันเนี่ย หลายๆคำเขาไม่ได้ออกเสียงเหมือนกับตัวสะกดที่เขียน สาเหตุมาจากการเปลี่ยนสระนั้นจะช่วยให้เพลงน่าฟังมากขึ้น ครูจะยกตัวอย่างคำสำคัญในเพลงเช่นคำว่า ” love” นะคะ หลายๆครั้งเขาจะออกเสียงว่า “ลาฟ” แทนคำว่า “เลิฟ” ค่ะ คำว่า “I” ก็ออกเสียง “อาย” แทนคำว่า “ไอ”

อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญคือ เวลาออกเสียงคำ บางครั้งเขาจะออกเสียงสระ 2 เสียงเช่นคำว่า “life” เขาจะออกเสียงตัว “ไ- และต่อด้วยตัว ี” คำว่า “stay” จะออกเสียงสระ เ- และต่อด้วยสระ ี วิธีง่ายๆที่จะช่วยเพื่อนๆได้ก็คือให้ฟังต้นฉบับเยอะๆว่าเขาออกเสียงอย่างไรแล้วก็พยายามเลียนเสียงให้ได้มากที่สุด เท่านี้ก็จะทำให้ร้องได้เสียงคล้ายกับนักร้องต้นฉบับแล้วค่ะ

ตัวอย่างการออกเสียงคำว่า stay และ life

2. รู้จักเทคนิคการออกเสียงแบบต่างๆ

การร้องเพลงสากลนั้นจะค่อนข้างยากกว่าเพลงไทย เนื่องจากทำนองนั้นมีช่วงเสียงที่ค่อนข้างกว้างและหลายๆเพลงก็จะมีการเปล่งเสียงที่ทรงพลังมากๆ การรู้จักเทคนิคในการออกเสียงแบบต่างๆนั้นจึงมีความจำเป็นค่อนข้างมากที่จะช่วยในการร้องเพลงภาษาอังกฤษให้เพราะค่ะ

  1. chest voice – เสียงจากอก ซึ่งก็คือเสียงที่เราพูดกันธรรมดาในชีวิตประจำวันนั่นเองค่ะ เป็นเสียงระดับกลางๆไม่สูง เสียงจะมีความหนา กังวานและก้อง
  2. head voice – คือเสียงเสียงที่ก้องในหัว เวลาที่เราร้องเพลงที่ต้องใช้เสียงสูง วิธีที่ดีที่สุดคือการฝึกร้องแบบ head voice ซึ่งจะทำให้ได้เสียงสูงที่มีคุณภาพและดังกังวานค่ะ
  3. mixed voice – คือเสียงที่อยู่ระหว่าง chest voice และ head voice เสียงนี้เป็นตัวเชื่อมให้ chest voice และ head voice มีความต่อเนื่องกัน

ตัวอย่างเสียงแบบ chest voice, head voice และ mixed voice

4. falsetto (ฟอลเซ็ตโต) คือการร้องเสียงสูงแบบหลบเสียง ซึ่งจะไม่ได้เป็นเสียงที่ก้องกังวานเหมือนกับการร้องแบบ head voice

ตัวอย่างการร้องโดยใช้เสียง falsetto (ในคลิปจะเริ่มที่นาทีที่ 1.32)

5. Belt (เบลท์) คือการนำเสียงแบบ chest voice มาร้องที่ตำแหน่งของเสียงสูง เสียงที่ได้ก็จะมีความหนามากๆและก้องกังวานมากๆเช่นกัน การร้องเบลท์นั้นเป็นเทคนิคที่นักร้องเพลงป๊อบที่มีพลังเสียงสูงๆใช้ ไม่ว่าจะเป็น บียอนเซ, วิสนีย์ ฮุสตัน, ซีลิน ดีออน, มาราย แครี, คริสตินา อากาลีรา นักร้องชายจะไม่ค่อยใช้เบลท์สักเท่าไหร่ แต่ก็มีนักร้องดังๆอย่าง แซม สมิธ, ทอม ยอร์ค (radiohead)

เราจะไม่ค่อยเห็นนักร้องที่ร้องเพลงไทยใช้เทคนิคการร้องแบบเบลท์ เนื่องจากเราไม่ค่อยมีเพลงที่ต้องใช้เสียงเบลท์สักเท่าไหร่ แต่เพลงฝรั่งนั้นใช้เบลท์กันเยอะมากๆ หากเพื่อนๆอยากร้องเพลงฝรั่งแบบโชว์พลังเสียงล่ะก็ควรจะฝึกการเบลท์เอาไว้ด้วยค่ะ

ตัวอย่างนักร้องที่ใช้เบลท์ในการร้องเพลง

3. เทคนิคการร้องเพลงทั่วๆไป

นอกจากเพื่อนๆจะต้องโฟกัสในเรื่องของการออกเสียงคำต่างๆในภาษาอังกฤษแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือเบสิคการร้องเพลงทั่วๆไป ซึ่งจะมีดังนี้ค่ะ

  • ควบคุมการหายใจเข้าและออกให้ลื่นไหลและควบคุมการปล่อยลมเวลาที่ร้องเพลง บางช่วงอาจจะต้องปล่อยลมมากบางช่วยอาจจะต้องปล่อยลมน้อยขึ้นอยู่กับบทเพลงและท่อนที่เราจะร้อง คลิกอ่าน ร้องเพลงเพราะขึ้นทันทีหากฝึกการหายใจที่ถูกต้อง
  • อย่าลืมหายใจเข้าจากกะบังลม วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือให้หายใจเหมือนกับกำลังดูดน้ำจากหลอด ท้องเราจะป่องเมื่อหายใจเข้าซึ่งจะต่างจากการหายใจเข้าแบบธรรมชาติ
  • อย่าลืมร้องเพลงด้วยการเปล่งเสียงโดยพยายามให้พุ่งไปที่ใดที่หนึ่งและร้องอย่างมีพลังเพื่อให้ผู้ชม “รู้สึก” ไปกับเรา
  • ผ่อนคลายกราม หัวไหล่และทวารหนักเวลาที่ร้อง การเกร็งส่วนต่างๆในร่างกายเวลาที่ร้องเพลงจะทำให้เสียงไม่โฟลว์และร้องเสียงสูงได้ยาก
  • ปรับริมฝีปากอย่างถูกต้องเพื่อให้ได้การออกเสียงสระและพยัญชนะที่คมชัด

หากเพื่อนๆสนใจศึกษาเกี่ยวกับเทคนิคการร้องเพลงให้เพราะ ครูเขียนบทความเรื่อง อยากร้องเพลงเพราะต้องทำอย่างไร ได้ ที่นี่ ค่ะ และหากเพื่อนๆคนไหนที่ยังร้องเพลงเสียงเพี้ยนอยู่ล่ะก็ อย่าลืมอ่านบทความ เทคนิคแก้การร้องเพลงเพี้ยนได้เลยค่ะ

4. ฟังเพลงบ่อยๆและร้องตาม

เมื่อเพื่อนๆเลือกเพลงที่จะร้องได้แล้ว ก็ให้เปิดเพลงและร้องตามนักร้องโดยให้เพื่อนๆปริ๊นท์เนื้อร้องออกมาด้วยจะได้จดสิ่งสำคัญๆที่เราได้ยิน พยายามเจาะร้องเป็นท่อนๆและฟังเสียงของนักร้องว่าเขาออกเสียงอย่างไร มีการปรับเปลี่ยนสระหรือไม่ หรือมีเทคนิคในการเอื้อนแบบไหน ใช้เสียงแบบไหนในการร้องแต่ละท่อน เพราะว่าในเพลงที่มีเรนจ์เสียงค่อนข้างกว้าง นักร้องก็จะใช้เสียงที่แตกต่างกันในแต่ละท่อน ให้จดไว้ว่าท่อนไหนใช้เสียงแบบไหน มีการเน้นคำที่ตัวใดในประโยค ให้ขีดเส้นใต้ที่เนื้อร้องตรงนั้น ท่อนไหนที่มีการเน้นคำเป็นตัวๆก็พยายามฟังและบันทึกลงไป เวลาร้องก็เปิดฟังทีละ 1 ประโยคแล้วร้องตามก็ได้ค่ะ เมื่อคิดว่าดีแล้วก็ร้องท่อนต่อไปจากนั้นก็รวมทั้งเพลง เมื่อเริ่มคล่องแล้วก็อาจจะลองร้องกับคาราโอเกะดูและอัดบันทึกเสียงไว้จะได้นำมาปรับปรุงแก้ไขได้ถูกต้อง

เริ่มแรกให้เพื่อนๆพยายามก็อปปีให้เหมือนที่สุดก่อน เมื่อร้องได้ดีแล้วก็ค่อยใส่ความเป็นตัวของตัวเองเข้าไป อาจจะปรับเปลี่ยนโน้ตเล็กน้อยหรือเปลี่ยนจังหวะเล็กน้อยเหมือนที่นักร้องในเดอะวอยซ์ทำก็จะทำให้เพลงน่าสนใจมากยิ่งขึ้นค่ะ

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่กำลังหัดร้องเพลงสากลกันไม่มากก็น้อยนะคะ แล้วพบกันกับบทความฉบับหน้าค่ะ

5. เลือกเพลงสากลที่ร้องง่ายๆ

หากเพื่อนๆเพิ่งจะเริ่มหัดร้องเพลงสากล ครูแนะนำว่าให้เราเลือกเพลงสากลที่ร้องง่ายๆก่อน ที่ครูบอกว่าร้องง่ายๆนั้นหมายความว่าให้หาเพลงที่มีเรนจ์ของเสียงไม่กว้างมากอย่างเพลงของ cold play หรือ Jason Mraz ที่เป็นเพลงร้องสบายๆมาฝึกก่อน เราจะได้มาโฟกัสเรื่องของการออกสำเนียงได้มากขึ้นเพราะไม่ต้องไปกังวลเกี่ยวกับเทคนิคการร้องมากนัก ครูจะแนะนำ 20 เพลงที่ร้องง่ายเหมาะกับเพื่อนๆที่เพิ่งหัดร้องเพลงสากลกันค่ะ

20 เพลงสากลร้องง่ายๆ

1. ain’t no sunshine by bill withers

2. can’t help falling in love by elvis presley

3. shake it off by taylor swift

4. a thousand years by christina perri

5. The scientist by Coldplay

6. Million reasons by Lady gaga

7. Lucky by Jason Mraz

8. The Show by Lenka

9. Hey Jude by The beatles

10. make you feel my love by bob dylan

11. bubbly by colbie caillat

12. Imagine by John Lennon

13. She Will Be Loved by Maroon 5

14. Memories by Maroon 5

15. Call away by Charlie Puth

16. Chasing cars by Snow Patrol

17. I’m Yours by Jason Mraz

18. Photograph – Ed Sheeran

19. Winds of Change by The Scorpions

20. Perfect by Ed Sheeran


Comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *